เทคนิค เข็น กระตุก สตาร์รถ อย่างไรให้โปร

วิธีการแก้ปัญหาสำหรับ “อาการเครื่องสตาร์ทติดยาก” ที่เรามักเห็นคนอื่นทำบ่อยๆ นั้นก็คือ การเข็น-กระตุก-สตาร์ท ซึ่งสำหรับเพื่อนๆมือใหม่ ที่ไม่เคยเจอปัญหา แบบนี้มาก่อน ก็อาจจะไม่รู้ว่าวิธีนี้มีทริก อะไรยังไงบ้าง ดังนั้นในบทความ Tips Trick ครั้งนี้ เราจึงจะมาบอกขั้นตอนการ เข็น กระตุก สตาร์รถ แบบเข้าใจง่ายๆ ให้เพื่อนๆได้ลองฝึกกันดูครับ

“อาการเครื่องสตาร์ทติดยาก” แม้จะไม่ใช่เหตุการณ์ ที่น่าอภิรมย์ แต่ก็มีสิทธิ์เกิดขึ้นได้ กับทุกคนไม่เว้นตัวผู้เขียนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ ตอนแบตฯไฟหมด

อาจจะเพราะแบตฯเสื่อมจนหมดไว เก็บไฟไม่อยู่ หรือถ้าในรถเก่าๆ ก็อาจจะเป็นเพราะ ไม่ได้สตาร์ทรถนาน จนแบตฯตาย จึงทำให้ไม่มีประจุไฟ เอามาใช้ปั่นไดสตาร์ท ไม่ก็สปาร์คหัวเทียนได้

หรือ แม้แต่เหตุสุดวิสัยเช่น เกียร์ค้าง ถอนไม่ได้ ก็เป็นอีกสาเหตุ ที่ทำให้ไม่สามารถสตาร์ทเครื่องยนต์ ของมอเตอร์ไซค์คู่ใจ ด้วยวิธีปกติได้เช่นกัน

marquez-push-start-americagp-2019-02
ขั้นตอนที่ 1 : บิดสวิทช์กุญแจไปที่ “On” และอย่าลืมเปิด “Kill Switch” ไปที่ “Run” (อาจจะดูขำๆ แต่ถ้าลืมทำขั้นตอนนี้ ก็สตาร์ทไม่ได้จริงๆนะครับ ฮ่าๆ)

ขั้นตอนที่ 2 : กรณีอยู่คนเดียว ไม่มีผู้ช่วย ให้ยืนข้างรถฝั่งด้านซ้าย และจับแฮนด์ทั้งสองฝั่ง ให้มั่น

ขั้นตอนที่ 3 : หาเนินลงเจอ เพราะถ้ามีก็ตั้งลำรถรอเลยครับ มันจะช่วยทุ่นแรง ตอนเข็นรถไปได้เยอะ (แต่อย่าชันเกินนะครับ ไม่งั้นจะเสียหลักล้มเอาเด้อ)

ขั้นตอนที่ 4 : กดคันเกียร์ไปที่ เกียร์ 2 หรือ เกียร์ 3 (ไม่แนะนำเกียร์ 1 เพราะตอนปล่อยคลัทช์เพื่อกระตุกสตาร์ท เครื่องจะกระชากล้อหลัง แรงเกินไป กรณีเครื่องไม่ยอมติด ขณะที่รอบเครื่องยนต์ก็ อาจจะหมุนเร็ว ไม่พอที่จะสตาร์ทติดได้)

ขั้นตอนที่ 5 : หลังกดคันเกียร์ เพื่อเข้าเกียร์เสร็จแล้ว ให้ลองขยับรถไปข้างหน้า เพื่อเช็คว่าเกียร์เข้าล็อคหรือยัง

ขั้นตอนที่ 6 : กำคลัทช์รถค้างไว้ แล้ววิ่งดันรถให้สุดฝีเท้า ถ้ามีเพื่อนช่วย ก็ข้ามสเต็ปไปนั่งบนรถแล้วให้เพื่อนช่วยดันแทนครับ (แต่อย่าลืมกำคลัทช์ตอนเข็นนะ)

ขั้นตอนที่ 7 : หลังจากเข็นรถมา จนได้ความเร็วประมาณหนึ่งแล้ว (คือเข็นได้สุดแรงแค่นี้แหล่ะครับ) ให้รีบกระโดดขึ้นรถ (ถ้ามีคนช่วยแล้วก็บนเบาะอยู่แล้ว ก็ให้ยืนครับ) แล้วกระแทกก้นลงเบาะให้แรงที่สุด เพื่อส่งแรงกดไปยังล้อหลัง ให้มีแรงยึดเกาะมากพอ ที่จะกระชากเครื่องยนต์ให้หมุน พร้อมกับปล่อยคลัทช์สุด (เพราะถ้าไม่กระแทกก้นลงเบาะ ยางอาจจะไม่มีแรงยึดเกาะกับพื้นถนน จนล้อเกิดอาการล็อค ตอนปล่อยคลัทช์) และอย่าลืม เบิ้ลเครื่องเบาๆ เพื่อเพิ่มแรงระเบิดในเครื่อง หากพ้นสเต็ปนี้ไป ให้กำคลัทช์ แล้วคลอคันเร่งเบาๆทิ้งไว้สักพัก เผื่อกรณีที่ปิดคันเร่งสุด แล้วเครื่องอาจจะดับเองอีก แต่ถ้ายังไมติด ก็เริ่มสเต็ปการกระตุกสตาร์ทใหม่ตั้งแต่ขั้นที่สองเป็นต้นไป

 ถ้าคุณมีอีแก่เกียร์ธรรมดาที่บ้านหรือชอบรถคลาสสิคที่ไม่ได้รับการบำรุงรักษา เชื่อเลยว่า ทุกท่านคงน่าจะผ่านประสบการณ์ การเข็นสตาร์ทรถยนต์มาแล้ว แม้ปัจจุบันจะเห็นน้อยลงเพราะการใช้การพ่วงแบตเตอร์รี่เป็นวิธีที่ถูกต้อง แต่เราก็ยังคงจำมันอย่างน่าอัศจรรย์ใจ

 

การออกแรงขอมือขยัน ร่วมด้วยช่วยกันอออกกำลังกาย เข็นรถไปข้างหน้า จนได้ความเร็วในระดับหนึ่ง ก่อนที่คุณจะเข้าเกียร์เย่อคลัทบ์

พร้อมบิดกุญแจสตาร์ทเครื่องยนต์ ไม่ใช่เรื่องง่าย ที่ทำกันได้ทุกวัน แต่น่าแปลกที่แนวคิดสั้นๆง่ายๆ ว่า “

เมื่อเครื่องยนต์ขับกำลังล้อได้ ล้อก็น่าจะขับกำลังเครื่องยนต์ได้เช่นกัน” กลายเป็นสิ่งที่คุณคาดไม่ถึง เพราะ พลังงานจลย์จากการเข็นรถของคุณ

เมื่อรถมีความเร็วระดับหนึ่ง เมื่อคุณเข้าคลัทช์ แล้วกระตุกคลัทข์สตาร์ทเครื่องยนต์ จากการเข็นสตาร์ทความเร็ว ที่มีมากพอในระดับหนึ่ง จะทำให้เครื่องยนต์ทำงานได้ โดยที่คุณไม่ต้องอาศัยแรงขับ จากมอเตอร์สตาร์ท ซึ่งเป็นเหตุผล ที่คุณสตาร์ทเครื่องยนต์ไม่ติด ไม่ว่าจะไฟไม่พอ หรือ ไดสตาร์ท (Starter Motor)  คุณพังก็ตามที แต่รถเกียร์ออโต้จะทำแบบนี้ไม่ได้นะ…

จริงๆ ผมเชื่อนะว่ายังมีอีกมากมาย ที่ทำให้เรานึกออกเมื่อเราอยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉิน  หลายครั้ง มันเป็นภูมิปัญญาของชาวบ้านแบบง่ายๆ

ที่ทุกวันนี้เรายังสามารถนำพวกมัน มาปรับใช้ได้กับรถคันเก่ง ของเราในยามที่คุณ อาจจะต้องเจอสถานการณ์ฉุกเฉิน

เพิ่มเติม ในส่วนของรถแม่บ้าน ที่เป็นคลัทช์ออโตเมติก (Honda Wave, Yamaha Finn เป็นต้น) สามารถใช้วิธี เข็น กระตุก สตาร์รถ ได้ด้วยเช่นกัน บาคาร่า สูตรบาคาร่า

โดยหากไม่มีผู้ช่วย อาจจะใช้วิธีเข็นๆๆ แล้วค่อยกระโดดค่อมรถ พร้อมกับกดคันเกียร์ทีเดียว ตอนเอาก้นกระแทนเบาะก็ได้ หรือหากมีผู้ช่วย ก็สามารถใส่เกียร์ แล้วกดคันเกียร์ค้างไว้

พอรถเข็นเร็วประมาณนึง จึงปล่อยคันเกียร์ออก พร้อมกับกระแทกก้นบนเบาะก็ได้ ส่วนฝั่งรถออโตเมติกนั้น…ตัวใครตัวมันจ้าาา (หรือถ้าเพื่อนๆคนไหนมีวิธีเข็นสตาร์ทรถออโตเมติก ก็อธิบายเมนท์เพิ่มเติมมาได้เลยนะครับ)

ที่มา : pgslot , PG SLOT , PGSLOTGAME

Honda DCT ระบบเกียร์ลูกครึ่ง!! สะดวกสบายแบบออโต้ สนุกแบบคลัทช์มือ

แต่อันที่จริงแล้ว ในปัจจุบันเรายังมีระบบคลัทช์/เกียร์อีกรูปแบบหนึ่งที่ถูกนำมาพัฒนาเพื่อใช้กับรถมอเตอร์ไซค์ได้แล้วพักใหญ่ๆ ซึ่งเพื่อนๆอาจจะพอได้ยินชื่อกันมาบ้างแล้วอย่าง “ระบบเกียร์ DCT” หรือ “ระบบเกียร์แบบคลัทช์คู่” ที่ในตอนนี้มีเพียง Honda เท่านั้นที่นำมาใช้อย่างจริงจังในผลิตภัณฑ์รถมอเตอร์ไซค์ของตนเอง ของเราก็ได้มีโอกาสได้ทดลองรถมอเตอร์ไซค์ของพวกเขาที่มาพร้อมกับชุดเกียร์แบบนี้อย่างจริงจังเสียที ซึ่งมันจะมีดียังไงบ้าง เรามาเข้าเรื่องกันเลยครับ

ระบบเกียร์ ถือเป็นหนึ่งกลไกสำคัญที่จำเป็นอย่างมาในการใช้ยานพาหนะของมนุษย์เราทุกวันนี้

เพราะถ้าไม่มีมัน เราก็จะไม่สามารถส่งกำลังที่ได้จากขุมกำลังเช่น เครื่องยนต์ หรือ มอเตอร์ไฟฟ้า ให้ส่งไปสู่ล้อหน้า/หลังที่ใช้เป็นตัวขับเคลื่อนยานพาหนะของเราให้พุ่งทะยานไปข้างหน้าได้

ซึ่งในปัจจุบันระบบเกียร์ที่เราคุ้นเคยในรถมอเตอร์ไซค์แยกตามลักษณะการใช้งานหลักๆก็จะมี 2 แบบด้วยกันคือ แบบเกียร์กระปุกที่มีทั้งแบบทำงานร่วมกับคลัทช์มือ และออโตเมติกคลัทช์ (ในรถมอเตอร์ไซค์แม่บ้านจำพวก Honda Wave) และเกียร์ออโตเมติกแบบอัตราทดแปรผัน หรือที่เรียกสั้นๆว่า CVT

ก่อนอื่น สำหรับระบบเกียร์ DCT ที่ใช้อยู่ในรถมอเตอร์ไซค์ของ Honda นั้น ไม่ใช่ระบบที่ใหม่แต่อย่างใดนะครับ เพราะอันที่จริง ระบบเกียร์/คลัทช์แบบนี้ เกิดขึ้นมานานแล้วเกือบ 80 ปี, เริ่มพัฒนานำมาใช้กับรถยนต์จริงๆไม่ต่ำกว่า 30 ปี และมีใช้ในรถยนต์ประเภทซุปเปอร์คาร์, สปอร์ตคาร์ หรือในรถยนต์นั่งบางรุ่น อย่างจริงจังมาแล้วพักใหญ่ไม่ต่ำกว่า 10 ปี เห็นจะได้

Honda DCT
โดยเจ้าเกียร์ DCT ที่ว่านี้ จะมีจุดต่างจากระบบเกียร์แบบคลัทช์เดี่ยวทั่วไปตรงที่ ปกติแล้ว รถมอเตอร์ไซค์ที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้ จะมีราวเกียร์ทั้งหมด 2 ตัว, มีชุุดคู่เกียร์ ตามจำนวนเกียร์ (มี 6 เกียร์ ก็ 6 คู่) และใช้ชุดคลัทช์ชุดเดียว

ซึ่งการจะเปลี่ยนเกียร์แต่ละเกียร์นั้น เราจะต้องกำคลัทช์ เพื่อให้คลัทช์หยุดจับกัน แล้วเตะเกียร์ เพื่อให้ตัวก้ามปู ดันฟันขบภายใน ละเฟืองเกียร์คู่แรกมาเป็นว่างก่อน แล้วถึงจะขยับไปจับกับเฟืองเกียร์คู่ถัดไปเพื่อให้เกียร์นั้นทำงาน แล้วจึงปล่อยคลัทช์ให้กำลังจากเครื่องยนต์ส่งไปยังชุดเกียร์ต่อไปโซ่ เพลา ลงล้อหลัง 

แต่ในฝั่งเกียร์ DCT ที่มีชุดคลัทช์ 2 ชุด จะแบ่งการทำงานกันร่วมกับชุดเฟืองเกียร์เลขคู่ กับชุดเฟืองเกียร์เลขคี่ที่ถูกแบ่งราวเกียร์ไว้เรียบร้อย

พอถึงเวลาใช้งานจริง เมื่อคลัทช์เกียร์ชุดเลขคี่ทำงาน เริ่มจับกันแล้วส่งแรงจากเครื่องยนต์ไปล้อหลัง ฝั่งเกียร์ชุดเลขคู่ที่คลัทช์ยังไม่ทำงานก็จะเข้าเกียร์ลำดับถัดไปรอไว้เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นเมื่อผู้ขี่สั่งรถให้เข้าเกียร์ต่อไป

ระบบก็จะทำหน้าที่แค่สั่งให้คลัทช์ของเกียร์เลขคี่เลิกจับ แล้วไปสั่งให้คลัทช์ของเกียร์เลขคู่ก็จับสลับกันเพียงแค่นั้น โดยไม่ต้องรอย้ายฟันขบจากเกียร์คี่มาเกียร์คู่ เหมือนตอนใช้คลัทช์ชุดเดียว ดังนั้นข้อดีของคลัทช์คู่ก็คือ มันจะเสียเวลาในการตัดต่อกำลังน้อยกว่ามากเมื่อเทียบระบบเกียร์แบบคลัทช์เดียว อย่างน้อยๆก็ครึ่งต่อครึ่ง และมีผลเกี่ยวเนื่องในเรื่องของการต่อกำลังที่ราบลื่นกว่านั่นเอง บาคาร่า สูตรบาคาร่า

และด้วยความที่ชุดเกียร์ DCT นั้นแม้จะบอกว่ามันทำงานคล้ายๆกับเกียร์ธรรมดา แต่ด้วยความที่มันเป็นระบบคลัทช์ไฟฟ้า ทำให้ส่วนใหญ่แล้วเราจึงสามารถใช้งานมันในลักษณะที่คล้ายกับรถเกียร์ออโตเมติกด้วย เนื่องจากผู้ผลิตมักเพิ่มโหมดการใช้งานแบบออโตเมติกที่จะให้ระบบเปลี่ยนเกียร์เองตามความเร็วและรอบเครื่องยนต์เข้ามาด้วยเช่นกัน

Honda DCT
เอาล่ะครับ หลังจากที่ทำความรู้จักกับระบบเกียร์ DCT กันไปแล้วคร่าวๆ เราก็จะขอพูดถึงรถมอเตอร์ไซค์ของ Honda ที่ขายอยู่ในบ้านเราแล้วใช้ระบบเกียร์ที่ว่านี้บ้าง

ซึ่งในปัจจุบันก็จะประกอบไปด้วย NC750XX-ADVNM4 กับ Goldwing และตัวรถที่เราได้รับโอกาสในการขี่ทดสอแบบยาวๆในแบบยาวๆในครั้งนี้ก็คือ Africa Twin (CRF1000L) กับ Africa Twin Adventure Sport (CRF1000L2) 

ซึ่งเราจะขอพูดถึงมันแค่เพียงในส่วนของระบการทำงานของเกียร์ DCT หลังจากที่เราได้ขี่ทดสอบเท่านั้น ไม่ขอเอ่ยถึงฟีลลิ่งตัวรถอื่นๆนะครับ

Honda DCT
โดยสำหรับตัวรถในรุ่นที่ใช้ระบบเกียร์ DCT ที่ Honda วางจำหน่ายนั้น ส่วนใหญ่แล้ว จะมีโหมดการทำงานของระบบเกียร์ขั้นพื้นฐานมาให้ทั้งหมด 3 แบบด้วยกัน เริ่มจากโหมดแรกคือโหมด “D” ซึ่งจะเป็นโหมดการขี่แบบเปลี่ยนเกียร์อัตโนมัติที่เป็นโหมดเริ่มต้นทุกครั้งที่เริ่มใช้งาน หลังกดปุ่มสวิทช์เกียร์ที่อยู่ตรงประกับแฮนด์ด้านขวา (ที่เห็นเป็นตัวอักษร “D-S”, “N” เรียงจากซ้าย ให้กดตรงปุ่ม “D-S” ลงไปได้เลยครับ)

พอจะออกตัวผู้ขี่ก็มีหน้าที่แค่เปิดคันเร่ง แล้วระบบจะจัดการคลอคลัทช์เอง เหมือนใช้รถมอเตอร์ไซค์แม่บ้าน เพียงแต่พอไต่ความเร็วไปเรื่อยๆ มันจะเปลี่ยนเกียร์ให้เองโดยอัตโนมัติตามอัตราการเปิดคันเร่ง, และอัตราเร่งกับความเร็วที่เราใช้ (คล้ายๆกับรถกระบะเกียร์ออโต้นั่นแหล่ะครับ) รวมถึงความลาดชันของเส้นทาง โดยในโหมด “D” นี้จะถือว่าทำงานได้อย่างมีความนิ่มนวล, ขี่ได้อย่างสบายๆสไตล์ทัวร์ริ่ง ทั้งตอนไต่เกียร์เพื่อไล่ความเร็ว และต่อไวมากที่สุด แบบน่าจะ 2,000 รอบ/นาทีปลายๆ – 3,000 รอบ/นาที เห็นจะได้ๆก็เพิ่มเกียร์แล้ว ทั้งๆที่เรดไลน์อยู่ที่ 8,000 รอบ/นาที (ไต่เกียร์ไวมาก) ส่วนตอนเชนจ์เกียร์ลงให้รับกับอัตราการชะลอของตัวรถตอนเบรก (แต่กว่าจะลงก็ช้าเช่นกัน เพราะรถต้องการความนุ่มนวลมากที่สุดในโหมดนี้)

Honda DCT
โหมดที่สองคือโหมด “S” ที่หากผู้ขี่ต้องการใช้ ก็กดย้ำตรงปุ่ม “D” อีกรอบเท่านั้น เพื่อให้หน้าจอเปลี่ยนมาแสดงผลโหมดของระบบเกียร์ว่าเป็นโหมด “S” ซึ่งในโหมดเกียร์นี้จะเป็นยังเป็นโหมดการขี่แบบเปลี่ยนเกียร์อัตโนมัติเช่นเดียวกันกับ “D” แต่จะเปลี่ยนเกียร์ขึ้นที่รอบสูงกว่าเดิมเพื่อความดุดัน, ความมัน(ส์)ในการไล่รอบความเร็ว, และไต่ความเร็ว โดยการกดเปลี่ยนโหมดจะสามารถกดขณะรถมีความเร็วอยู่ได้เลยนะครับ แค่ต้องปิดคันเร่งนิดหน่อยเท่านั้น เพื่อให้กล่องปรับโหมด

ขณะที่จังหวะเชนจ์เกียร์ลงก็จะมีเอนจิ้นเบรกส่งมาที่ล้อหลังหนักหน่วงขึ้นเช่นกัน ทำให้ผู้ทดสอบรู้สึกว่าโหมดนี้มีการไล่เกียร์ค่อนข้างใกล้กับมนุษย์ทั่วๆไปใช้งานเกียร์ธรรมดามากขึ้น ซึ่งอันที่จริงในโหมดการขับขี่แบบ “S” นั้นยังสามารถปรับระดับความดุดันของการเปลี่ยนเกียร์ขึ้น/ลง และอัตราการตอบสนองของเครื่องยนต์ต่อการเปิดคันเร่งได้อีก 3 ระดับ ตามความต้องการของผู้ขี่อีก (โหมด 3 จะดุดันที่สุด)

Honda DCT
และโหมดสุดท้ายคือโหมด Manual ที่ผู้ขี่จะต้องกดปุ่ม “A/M” ที่แยกออกมาจากปุ่ม “D-S,M” ซึ่งในโหมดนี้ก็จะทำงานตามชื่อครับ นั่นก็คือหลังจากกดปุ่มที่ว่าแล้ว บนหน้าจอสแดงผลจะไม่มีการขึ้นแถบโหมด “D” หรือ “S” และจะไม่มีเปลี่ยนเกียร์ให้ใดๆทั้งสิ้น ผู้ขี่จะต้องเปลี่ยนเกียร์เองแบบอัตโนมือ และสามารถกดขณะรถมีความเร็วอยู่ได้ด้วยเช่นกัน

Honda DCT
โดยการกดปุ่ม “+” ด้านหน้าประกับด้วยนิ้วชี้ และ “-” ด้านหลังข้างใต้ ด้วยนิ้วโป้งที่ติดตั้งไว้ตรงประกับซ้าย เพื่อสั่งเพิ่มเกียร์ขึ้นและลดเกียร์ลง

โดยโหมดนี้จะเหมาะมากๆสำหรับการใช้งานแนวบุกตะลุยผู้ขี่ที่ไม่ต้องการเปลี่ยนเกียร์ขณะใช้งานมากนักถ้าไม่จำเป็น (อย่าสับสนกับปุ่มปรับแทร็คชันคอนโทรล และปุ่มไฟเลี้ยวเชียวล่ะ เพราะมันจะอยู่ใกล้ๆกัน ฮ่าๆ)

หรือหากผู้ใช้รู้สึกไม่ชินกับจังหวะการเปลี่ยนเกียร์ของโหมด “D” และ “S” จะเปลี่ยนมาใช้โหมดนี้เพื่อสั่งต่อเกียร์ตามความเคยชินของตนเองก็ได้เช่นกัน (อย่างเช่นตัวผู้เขียนเอง)

Honda DCT
นอกจากนี้ ตัวปุ่ม “+” และ “-” ที่ว่า ยังสามารถกดใช้ขณะขี่รถด้วยโหมด “D” หรือ “S” ได้ด้วย โดยเฉพาอย่างยิ่งในจังหวะเร่งแซงที่อาจจะรู้สึกว่าเครื่องยนต์เร่งได้ติดมือไม่มากพอ

หรือตอนเบรกรถเชนจ์เกียร์ลงไม่ทันใจ เพราะผู้ขี่อยากได้แรงเอนจิ้นเบรกมาช่วยดึงรถตอนเบรกแบบที่เคยชินตอนขี่รถเกียร์ธรรมดาก็ได้

แต่หลังจากที่ขี่ไปสักพัก ตัวรถก็จะกลับไป เพิ่ม/ลด เกียร์ให้เองแบบอัตโนมัติตามโหมดหลักที่ตั้งไว้ตามเดิม

เรียกได้ว่าทำงานแทบไม่ต่างจากรถยนต์ออโต้คันหรูๆที่มีโหมด Tiptonic +/- เลยเพียงแต่มีความฉับไวในการตอบสนองมากกว่าเพราะเป็นเกียร์แบบคลัทช์คู่นั่นเอง

และเอาจริงๆตอนกดปุ่ม +/- นี่รถจะเปลี่ยนเกียร์ค่อนข้างดีเลย์นะครับอาจจะประมาณเกือบๆวินาทีหลังจากกดไปแล้ว และไม่สามารถกดย้ำเร็วๆเพื่อเปลี่ยนเกียร์ที่เดียวหลายสเต็ปได้ ต้องรอให้เกียร์เปลี่ยนมาสักพักหนึ่งก่อนอีกประมาณครึ่ง-หนึ่งวินาทีถึงจะกดเปลี่ยนเกียร์ต่อได้

Honda DCT
และเพื่อความสนุกสนานในการใช้งานเชิงบุกตะลุยไปอีกขั้น ตัวรถ Africa Twin (ทั้งรุ่น Standard และ Adventure Sport รวมถึงตัวรถรุ่น X-ADV) ที่ใช้เกียร์ DCT

จะมาพร้อมกับ G-Mode ช่วยปรับอัตราการจับ/ปล่อยคลัทช์ให้มีความฉับไวมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้เวลาผู้ขี่นำรถไปลุยทางทุรกันดาร แล้วต้องการเกระแทกคันเร่งเพื่อกระชากล้อหลังสำหรับตะกรุยทางดิน

จะสามารถทำได้อย่างดุดันติดมือมากขึ้นกว่าตอนที่ไม่ได้เปิดโหมดนี้ไว้ และแน่นอนว่าโหมดนี้ก็สามารถกดเปลี่ยนขณะรถมีความเร็วได้ด้วยเช่นกัน เพียงแต่ต้องละมือจากแฮนด์เพราะปุ่มนี้จะไปอยู่ใต้หน้าจอ หรือข้างๆหน้าจอซึ่งต้องเอื้อมมือไปกด (แต่ก็เข้าใจแหล่ะครับ เพราะถ้าอยู่ที่ประกับแฮนด์ก็ไม่รู้จะเอาปุ่มไปไว้ตรงไหน แค่นี้ก็แน่นจะแย่แล้ว)

Honda DCT
ข้อดีอีกอย่างที่ผู้เขียนพบเมื่อได้ลองใช้รถที่มีเกียร์ DCT ก็คือ เราแทบไม่ต้องกังวลเรื่องการคลอคลัทช์เวลาซอกแซกช่องจราจร หรือไต่อุปสรรคด้วยความเร็วต่ำๆเลย เนื่องจากระบบเกียร์นี้จะคอยคลอคลัทช์ในช่วงความเร็วต่ำๆให้เองอัตโนมัติ หากจอดหยุดกระทันหันเราไม่ต้องกลัวเรื่องการกระตุกดับ เพราะอย่างที่เราบอกไปในข้างต้นแล้วว่ามันเป็นระบบเกียร์และระบบคลัทช์ที่สั่งการด้วยไฟฟ้า ดั้งนั้นจึงถือว่าสะดวกสบายมากๆเลยทีเดียว และรู้สึกว่าใช้งานง่ายแทบไม่ต่างจากรถมอเตอร์ไซค์แม่บ้านที่มีระบบคลัทช์แบบแรงเหวี่ยงที่หลายๆคนใช้ในชีวิตประจำวัน

ขณะที่หากขี่รถมาด้วยความเร็วสูงๆแล้วเกิดต้องเบรกกระทันหัน ก็อย่างที่เรากล่าวไปข้างต้นเช่นกันว่าระบบเกียร์ DCT นี้จะทำการเชนจ์เกียร์ลงให้อัตโนมัติ ดังนั้นผู้ขี่จึงไม่ต้องมากังวลเรื่องการกำคลัทช์ เชนจ์เกียร์ลง แล้วเบิ้ลเครื่องเพื่อทำเรฟแมชชิ่ง (Rev Matching) แล้วปล่อยคลัทช์เพื่อทำให้เอนจิ้นเบรกสัมพันธ์กับความเร็วเหมือนอย่างที่เคยทำในรถเกียร์ธรรมดาแต่อย่างใด และถ้าหากจะเปิดคันเร่งต่อเพื่อกระชากตัวออกจากโค้งหรือช่องจราจรที่พึ่งมุดมา ตัวรถก็จะต่อเกียร์ให้ทันที (จะช้าจะเร็วก็ขึ้นอยู่กับโหมดเกียร์ที่ใช้อยู่) เพราะทุกอย่างเกียร์ DCT ได้จัดการให้หมดแล้วเรียบร้อย สะดวกสบายสุดๆ

Honda DCT
สรุป การได้รับโอกาสเข้าร่วมทริปทดสอบรถมอเตอร์ไซค์เกียร์ DCT ของ Honda ในครั้งนี้ ถือว่าช่วยเปิดประสบการณ์ของผู้เขียนเกี่ยวกับระบบเกียร์แบบนี้ได้อีกเยอะเลยทีเดียว เพราะแม้อันที่จริงผู้เขียนจะเคยมีประสบการณ์กับเจ้ารถที่ใช้เกียร์ DCT นี้มาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน ตอนที่รถเปิดตัวใหม่ๆ (ตอนนั้นได้ลอง NC750X กับ X-ADV) แต่ในครั้งนี้ที่เป็นทริปขี่แบบยาวๆ กับ Africa Twin ทั้งรหัส CRF1000L, CRF1000L2 เรียกได้ว่าช่วยให้เห็นความสะดวกสบายในการใช้งานของมันที่แทบไม่ต่างจากการขี่รถมอเตอร์ไซค์ออโตเมติก แต่ก็ไม่ทิ้งลายความสนุก ความมัน(ส์)อย่างที่ได้ขึ้นหัวข้อไว้จริงๆ

ดังนั้นหากเพื่อนๆคนไหนสนใจอยากสัมผัส หรืออยากได้รถที่มีเกียร์ DCT ติดตั้งมาให้ ทั้ง NC750X, X-ADV, NM4, Goldwing, Africa Twin (CRF1000L) และ Africa Twin Adventure Sport (CRF1000L2) ล่ะก็ เชิญไปสัมผัสและทดสอบตัวรถของจริงที่ศูนย์ Honda Bigwing ทั่วประเทศได้เลยครับผม แล้วเพื่อนๆจะติดใจแน่นอน

ที่มา : pgslot , PG SLOT , PGSLOTGAME

Slipper Clutch เทคโนโลยีรุ่นเก่า สู่ตัวรุ่นใหม่

วันนี้จะพาทุกคน มารู้จักกับเทคโนโลยีรุ่นเก๋า ที่ถูกพัฒนา และติดตั้งไว้บนรถรุ่นใหม่ ที่เรีกยกว่าระบบ Slipper Clutch สำหรับบรรดาสาวกบิ๊กไบค์ หลายต่อหลายคน คงทราบกันดีหรือเคยได้ยินอยู่แล้ว เกี่ยวกับระบบนี้ แต่คุณทราบถึงหน้าที่ และวิธีการใช้งานที่แท้จริง ของสลิปเปอร์คลัชที่แท้จริงหรือไม่ และระบบนี้มีดีอย่างไร ถึงถูกนำมาติดตั้ง และใส่เข้าไปในรถรุ่นใหม่ๆ ดังนั้นมาดูกัน

สลิปเปอร์คลัชในรถรุ่นเก่า

SlipperClutch มีไว้ทำไม เทคโนโลยีรุ่นเก่าที่มีในรถรุ่นใหม่

สำหรับเทคโนโลยี หรือระบบสลิปเปอร์คลัชนั้น สาวกบิ๊กไบค์บางคนคงเคยได้ยิน ชื่อของมันและพอรู้ว่า มันอยู่ตรงจุดในของรถ แต่สำหรับบางท่าน ยังคงสงสัย และกำลังอยากหาคำตอบสำหรับระบบสลิปเปอร์คลัช ที่เป็นเทคโนโลยีรุ่นเก่า ที่เรียกได้เลยว่าเก๋าอย่างมาก เพราะมันดันถูกติดตังลงในรถรุ่นใหม่ ดังนั้นมาดูกันว่าหน้าที่ และความมหัศจรรย์ ของเจ้าอุปกรณ์หรือเทคโนโลยีตัวนี้ มีอะไรบ้าง และทำหน้าที่ ที่โดดเด่นอย่างไร

 

การทำงานของระบบสลิปเปอร์คลัช

โดยการทำงาน หรือระบบการทำงานของสลิปเปอร์คลัชนั้น มีการทำงานที่ไม่ยุ่งยากโดยหน้าที่ของมันนั้นคือ “การป้องกันล้อล๊อค” จากการทำงานของระบบ EngineBreak หรือการเชนเกียร์ในระยะเวลารวดเร็ว และในขณะรอบเครื่องสูงๆ ซึ่งโดยปกติ หากเราทำการเชนเกียร์หรือถอนเกียร์อย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งปล่อยคลัตช์โดยทันทีล้อรถจะเกิดอาการล๊อคด้วยผลจากทำงานของระบบ EngineBreak สำหรับรถที่ไม่มีระบบสลิปเปอร์คลัชซึ่งเกิดจากการที่ไม่มีการจับผ้าคลัตช์นั้นเอง ซึ่งจะพบบ่อยในรถจักรยานยนต์ธรรมดา 

 
สลักของ Slipper-Clutch

 

สลักของ Slipper-Clutch

ซึ่งการทำงานของระบบสลิปเปอร์คลัชนั้นเมื่อผู้ขับขี่ทำการเชนเกียร์ หรือกำลังใช้งานของระบบ EngineBreak รถมีระบบสลิปเปอร์คลัช จะทำงานโดยในตัวระบบจะมีสลักที่ถูกออกแบบมาเพื่อใช้ในกรณีที่มีการปล่อยคลัตช์อย่างรวดเร็ว โดยเจ้าสลักนี้จะทำหน้าที่ในการผลักแผ่นคลัตช์เล็กน้อยเพื่อช่วยให้อาการของล้อล๊อคนั้นลดลง พร้อมทั้งลดปัญหาอาการท้ายสบัดเพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ ในขณะที่ผู้ขับขี่นั้นต้องการเชนเกียร์และใช้ระบบ EngineBreak เพื่อลดความเร็วของรถ

สำหรับระบบสลิปเปอร์คลัชในอดีตถูกใช้ในรายการการแข่งขันรถจักรยานยนต์ทางเรียบ เช่น MotoGP ซึ่งในการแข่งขันรถยนต์ทางเรียบผู้ขับขี่และนักแข่งจะต้องมีการเชนเกียร์ลงมาในระดับที่ต่ำ จนเกิดแรงเฉี่อยจาก EngineBreak อย่างมหาศาลแน่นอนในการแข่งขันแต่ละโค้ง อย่างไรก็ตามเพราะมีระบบ SlipperClutch นี้เองที่ทำให้นักแข่งหลายต่อหลายคนนั้นสามารถเชนเกียร์ได้ในระดับทารุณอย่างมากได้อย่างปลอดภัยและสามารถทำเวลาการแข่งขันจนจบรายการได้

อย่างไรก็ตามระบบสลิปเปอร์คลัช (SlipperClutch) ถูกนำมาเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ที่ต้องมีและติดตั้งไว้ในรถ Bigbike หรือ Sportbike ในยุคปัจจุบันไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นในรถคลาส 150cc. 300cc. ก็ยังมีการติดตั้งระบบสลิปเปอร์คลัช ให้ได้ใช้งานกันแล้ว เพื่อเพิ่มความสลายของผู้ใช้งาน ถึงแม้จะไม่มีบทบาทในการทำงานมากเท่าไหร่ เหมือนกับรถ ที่มีซีซีสูงอย่างๆ Sportbike ก็ตาม แต่สำหรับในรถที่มีซีซีสูงๆ ทุกคนคงอุ่นใจได้เลยเพราะรถของคุณที่ได้มีการติดตั้ง ระบบสลิปเปอร์คลัชลงไปแล้ว ไม่ต้องกังวล ในเรื่องของการใช้ EngineBreak เลยเพราะรถของคุณ จะไม่เกิดเหตุการณ์ล้อล็อคอย่างแน่นอน

ระบบสลิปเปอร์คลัทช์ ถือเป็นระบบกลไก ที่มีผลต่อการติดสินใจ ในการเลือกซื้อรถมอเตอร์ไซค์ ในปัจจุบันมากรองลงมาจาก ระบบ ABS, แทร็คชันคอนโทรล, และโช้กหน้าหัวกลับ แต่เชื่อหรือไม่ว่า มีน้อยคนนัก ที่จะรู้จักว่าเจ้าระบบาลิปเปอร์คลัทช์นี้ ทำมาเพื่ออะไร และมันมีดียังไงกันแน่ ดังนั้นในวันนี้ เราจะมาไขข้อสงสัยเก่ี่ยวกับเรื่องนี้กันครับ

2018-motogp-sepang-winter-test-05
และสำหรับจุดประสงค์ ในการติดตั้งชุดสลิปเปอร์คลัทช์ก็คือ “ถูกออกแบบมาเพื่อลดเอนจิ้นเบรก ที่ส่งมายังล้อหลัง ตอนเชนจ์เกียร์ลงหนักๆ เพื่อป้องกันอาการล้อหลังล็อค โดยอาศัยการผ่อนแรงจับ หรือแรงกดของผ้าคลัทช์”

clutch-digram-01
โดยหากถามถึงหลักการ เราอยากให้เพื่อนๆ ย้อนกลับไปอ่านบทความก่อนหน้า ที่เราได้อธิบายเกี่ยวกับ “ระบบกลไกและการทำงานของชุดคลัทช์ในรถมอเตอร์ไซค์” กันก่อน และถ้าอ่านเสร็จแล้ว เราก็มาเริ่มกันเลยครับ

Kawasaki-ZX-6R-slipper-clutch-Image-source-All-About-Bikes-2
และจุดแตกต่าง ของชุดสลิปเปอร์คลัทช์ เมื่อเทียบกับระบบสลิปเปอร์คลัทช์ธรรมดาก็คือ การที่ตัวเรือนคลัทช์ตัวนอก กับเรือนคลัทช์ตัวใน (ฝากดคลัทช์) จะมีการทำบ่าเฉียงทางเดียวด้านในไว้ เกี่ยวกันอยู่ เพิ่มมาอีกหนึ่งอย่าง ซึ่งเจ้าบ่าเฉียงตัวนี้ คือกุญแจสำคัญ ที่ทำให้เกิดการสลิปเปอร์ หรือคลัทช์ไม่จับกันเต็มที่ เหมือนผู้ขี่ตั้งใจอมคลัทช์ขึ้นมา บาคาร่า สูตรบาคาร่า

slip-and-assist-clutch-Image-source-www.motorcycle.com
กล่าวคือ เมื่อเราเชนจ์เกียร์ลงหนักๆ เอนจินเบรกของเครื่องยนต์ จะส่งแรงบิดสวนทางกับทิศการหมุน ของเฟืองเกียร์ ที่ส่งกำลังต่อไปยังล้อหลัง ทำให้บ่าเฉียง ที่ออกแบบเอาไว้พยายามเฉือนกันออก ตามแรง ที่เกิดขึ้น จึงส่งผลให้เรือนคลัทช์ตัวใน กับตัวนอก(ฝาคลัทช์)ถ่างออกจากกัน และลดแรงเอนจิ้นเบรก จากเครื่องยนต์ไม่ให้ส่งไปยังล้อหลัง เพราะผ้าคลัทช์ไม่ได้จับกันเต็ม เหมือนปกติ

Assist_Slipper-Clutch_resize
นอกจากนี้ ตัวเฟืองเฉียงดังกล่าว ยังให้ผลพลอยได้ อีกอย่างคือ เมื่อเราเปิดคันเร่ง เพื่อให้เครื่องยนต์หมุน ส่งแแรงบิดผ่านเฟืองเกียร์ ไปขับล้อหลัง ตัวเฟืองเฉียงในเรือนคลัทช์ ที่ว่าก็จะทำหน้าที่สลับกัน กับตอนเชนจ์เกียร์ คือยิ่งเครื่องยนต์หมุนแรงมากขึ้นเท่าไหร่ เฟืองเฉียงก็จะยิ่งเกียวกัน แน่นมากขึ้นเท่านั้น และส่งผลให้คลัทช์กดกัน แรงมากขึ้น ดังนั้นทางวิศวกรจึงสามารถลดจำนวนสปริง หรือความแข็งของสปริงคลัทช์ลงได้

ทำให้ผู้ขี่ใช้แรง ในการกำคลัทช์น้อยลง หรือก็คือก้านคลัทช์ จะนิ่มนวลขึ้นกว่าเดิมนั่นเอง

Pon-Triumph-Speed-Twin_06
นั่นจึงเท่ากับว่า นอกจากระบบสลิปเปอร์คลัทช์ จะมีส่วนสำคัญในเรื่อง การเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้ใช้รถ เพราะมันช่วยป้องกัน การล็อคของล้อหลังตอนเชนจ์เกียร์ มันยังช่วยเพิ่มความสะดวกสบาย ในการใช้งานตอนเดินทาง ในเมืองอีกด้วย เพราะผู้ขี่ไม่จำเป็นต้องใช้แรง ที่นิ้วเพื่อคลอคลัทช์เยอะ เหมือนกับรถมอเตอร์ไซค์ ที่ยังใช้ชุดคลัทช์ แบบธรรมดาอยู่นั่นเอง

ที่มา : pgslot , PG SLOT , PGSLOTGAME

ซ้อน Bigbike อย่างไร ให้ถูกต้องและปลอดภัย

การ ซ้อน Bigbike หนึ่งในเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม โดยเด็ดขาดสำหรับสาวกบิ๊กไบค์ทุกคน ที่รู้และยังไม่รู้สำหรับการ ซ้อนมอเตอร์ไซค์ บิ๊กไบค์ที่บอกได้เลยว่า นับเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้ามโดยเด็ดขาด เพราะการซ้อนท้าย Bigbike นั้นมีความแตกต่าง จากการซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ธรรมดาอย่างแน่นอน เพราะหากนั่งซ้อนท้ายบิ๊กไบค์ไม่เป้น อาจส่งผลทำให้การเดินทางอาจเกิดอุบัติเหตุ กับผู้ขับขี่และซ้อนท้ายได้ 

ซ้อน Bigbike
การซ้อนบิ๊กไบค์

ซ้อนมอเตอร์ไซค์ บิ๊กไบค์เทคนิคการนั่งซ้อนท้าย BigBike

สำหรับการนั่งซ้อนท้ายรถบิ๊กไบค์นั้น เป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม โดยเด็ดขาดเพราะการเดินทางด้วยรถที่มีซีซีสูงๆ นั้นเรื่องของความเร็วของรถ คงบอกได้เลยว่า ต้องแตกต่างจากการนั่งรถแบบธรรมดา อย่างแน่นนอน ดังนั้นวันนี้ จะมาแนะนำ วิธีการนั่งซ้อนท้ายอย่างไร ให้ปลอดภัยด้วย 4 ข้อตอน สำหรับการซ้อนท้ายบิ๊กไบค์ ที่ถูกต้องและปลอดภัย

ซ้อน Bigbike

 

การทิ้งน้ำหนักตัว

การทิ้งน้ำหนักตัว ของคนนั่งซ้อนท้ายนั้น ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิง หรือผู้ชายก็ตาม การนั่งที่ถูกวิธีนั้น 

ไม่ควรที่จะเทน้ำหนักตัวของผู้ซ้อน ไปที่คนขับหรือแผ่นหลังของคนขับโดยเด็ดขาด เพราะการนั่งในรูปแบบนั้น จะเป็นการเพิ่มภาระ และทำให้กับผู้ขับขี่ เกิดความเมื่อยล้าในเวลาขับขี่อย่างมาก

ดังนั้น การซ้อนท้ายบิ๊กไบค์จึงไม่ควรที่จะเทน้ำหนักตัว พิง หรือเอนซบผู้ขับขี่เป็นระยะเวลานานๆ โดยเด็ดขาด ซึ่งท่านั่งที่ถูกต้องคือคนซ้อนท้าย จะต้องนั่งชิดผู้ขับขี่ แต่ไม่ควร พิง หรือเอนซบผู้ขับขี่เป็นเวลานานๆ นั้นเอง

ตำแหน่งการจับของผู้ซ้อน

 

ตำแหน่งการจับของผู้ซ้อน
  1. ตำแหน่งการจับของผู้ซ้อน นับว่าเป็นเรื่อง ที่ไม่ควรมองข้ามโดยเด็ดขาด ซึ่งวันนี้จะมาแนะนำตำแหน่ง การจับของผู้ซ้อน ที่ถูกต้องด้วยกันมีทั้งหมด 3 ตำแหน่งได้แก่
    – เอว เป็นตำแหน่ง ที่ผู้ซ้อนท้ายสามารถจับได้ โดยเฉพาะคนซ้อน ที่เป็นผู้หญิง ซึ่งการจับที่เอวนั้นผู้ซ้อนจะต้องชิดกับผู้ขับ ให้มากที่สุด เพื่อลดการถ่ายเทน้ำหนักตัว โดยการเอามือสอดไปจับเข็มขัดผู้ขับขี่ ซึ่งการซ้อนแบบนี้นั้น เหมาะสำหรับการเดินทางระยะไกล ซึ่งถ้าคนนั้นซ้อนท้าย และคนขับสามารถจัดได้ลงตัว จะทำให้ทั้งคู่สามารถเดินทางได้สบาย และไม่เหนื่อยอย่างแน่นอน 
    – ไหล่ ตำแหน่งนี้ เหมาะสำหรับการเดินทาง ในระยะทางที่สั้น และ ระยะยาวได้เช่นกัน โดยการจับในตำแหน่งหัวไหล่นั่น ถือว่าเป้นตำแหน่งที่เหมาะสม อีกหนึ่งตำแหน่ง และมีความปลอดภัย จากแรงกระชากของเครื่องยนต์ในการเปิดคันเร่งของผู้ขับขี่ หรือ ในขณะที่ระบบ Engine Brake ทำงานอีกด้วย บอกได้เลยว่าท่านั่งแบบนี้อาจจะเป็นท่านั่งเบสิกสำหรับการนั่งบิ๊กไบค์เลยทีเดียว
    – เอามือค้ำถังน้ำมัน ซึ่งการจับแบบนี้นั้นส่วนใหญ่ผู้ซ้อนท้ายจะใช้เป็นท่าสำหรับการเปลี่ยนท่านั่งหรือเปลี่ยนอิริยาบถเท่านั้นหลังจากการเดินทางไกล ซึ่งการจับแบบนี้สามารถทำได้โดย โน้มตัวไปให้ชิดคนขับมากที่สุด และเอาสองมือค้ำถังน้ำมันพร้อมกับโน้มตัวไปข้างหน้าโดยที่ไม่ทิ้งน้ำหนักตัวใส่ผู้ขับ 
    *** ข้อควรระวัง ห้ามจิก หรือ จับด้วยปลายนิ้ว โดยเด็ดขาดเพราะจะทำให้คนขับนั้นต้องทรมานอย่างแน่นอน เพราะถ้าหากเจอคนซ้อนที่ตกใจกับความเร็วและแรงกระชากของรถจกเผลอใช้มือจิกไปที่ไหล่หรือเอวอาจทำให้ผู้ขับเสียสมาธิได้จนเกิดอุบัติเหตุได้
    การเข้าโค้ง

     

    การเข้าโค้ง
  2. การเข้าโค้ง นับว่าเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่สำคัญสำหรับคนซ้อนอย่างมาก เพราะคนขับและคนซ้อนนั่นจะต้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเพื่อช่วยให้การเข้าโค้งนั้นสามารถเข้าได้อย่างปลอดภัย อบากไรก็ตามการที่ผู้ซ้อนเลือกที่จะซ้อนท้ายคนที่ขับบิ๊กไบค์นั้น สิ่งที่จำเป้นที่สุดคือ “อย่าได้กลัว” และอย่าฝืนท่าทางการขับขี่โดยเด็ดขาด ที่สำคัญไปกว่านั้นต้องมั่นใจในคนขับอีกด้วย ดังนั้นหากไม่มั่นใจกันห้ามซ้อนท้ายกันโดยเด็ดขาด เพราะการซ้อนท้ายกันนั้นผู้ขับและคนซ้อนท้ายจะต้องเป้นอันหนึ่งอันเดียวกัน
    ซ้อน Bigbike

     

    สมาธิเป็นสิ่งสำคัญ
  3. สมาธิเป็นสิ่งสำคัญ สำหรับการเดินทางไกลนั้นบอกเลยว่าสมาธิเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมาก เพราะด้วยความเร็วของรถแล้วคงไม่มีเวลาให้เราคุยเล่นอะไรมากพอเพราะหากพลาดเพียงนิดเดียวอาจจะทำให้เกิดความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินได้นั้นเอง นั้นนั้นผู้ซ้อนไม่ควรโดยเด็ดขาดในการชวนผู้ขับขี่คุยมากจนเกินไป โดยสิ่งที่ควรทำของผู้ซ้อนคือช่วยดูเส้นทาง ป้ายบอกทาง หรืออันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้ พร้อมทั้งช่วยเตือนผู้ขับขี่หากอยู่ในสภาวะที่ดูแล้วไม่ปกตินั้นเอง

4 ข้อสำคัญที่ผู้ซ้อนท้าย Bigbike ต้องคำนึงถึง

  1. ชุดและอุปกรณ์เซฟตี้ ความปลอดภัยเป็นสิ่งที่ต้องคิดถึงเป็นอันดับแรก ดังนั้นก่อนซ้อนรถบิ๊กไบค์ ผู้ซ้อนต้องเตรียมตัวให้พร้อมด้วยการสวมใส่เสื้อผ้าที่เหมาะสม สวมเสื้อแจ็คเก็ต, ถุงมือ, กางเกงขายาวที่มีเนื้อผ้าค่อนข้างหนา อย่างเช่น กางเกงยีนส์ รวมทั้งรองเท้าบู๊ทหุ้มสูงหุ้มข้อ เพื่อช่วยป้องกันการขีดข่วนและแผลเมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝัน อย่างเช่น รถล้ม และที่สำคัญที่ลืมไม่ได้คือหมวกกันน็อค ซึ่งต้องใส่ทุกครั้งเมื่อซ้อนรถมอเตอร์ไซค์ เพราะจะช่วยปกป้องศีรษะไม่ให้เกิดอันตรายและได้รับการบาดเจ็บหากเกิดการกระทบกระแทก หรือรถล้ม ซึ่งหมวกกันน็อคควรเลือกหมวกแบบเต็มใบที่สามารถปกป้องศีรษะได้อย่างทั่วถึง อีกทั้งยังช่วยกันแดดกันลมเมื่อต้องเดินทางในพื้นที่วิบากหรือเดินทางไกลในระยะเวลานาน ๆ ด้วย
  2. ท่านั่งที่เหมาะสม อย่าเกาะติดกับคนขับมากจนเกินไป ควรจับเฉพาะไหล่และพื้นที่กลางลำตัวเท่าที่จำเป็นเพื่อให้คนขับสามารถบังคับรถได้ดี ไม่ควรเกาะติดจนแน่น เช่น การโอบเอว, การจับแขนหรือเกาะไหล่คนขับเพราะจะทำให้คนขับเคลื่อนไหวไม่สะดวกและจะทำให้ผู้ขี่รถบิ๊กไบค์ไม่สามารถควบคุมรถได้อย่างถนัด ซึ่งจะทำให้มีโอกาสเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย ดังนั้นจึงควรนั่งในท่าที่ถูกต้อง ขาเหยียบที่วางเท้าเอาไว้ตลอดและใช้มือจับตัวถังรถเอาไว้เพื่อช่วยในการยึดเกาะอีกทางหนึ่ง
  3. อย่าเกร็งและฝืน อย่าเกร็งตัวเมื่อซ้อนท้ายบิ๊กไบค์ และอย่าฝืนตัวเมื่อรถเลี้ยวหรือเข้าโค้งเพราะอาจทำให้รถเสียการทรงตัวและเข้าโค้งได้ไม่ดีเท่าที่ควร จนทำให้เกิดการล้มหรือคว่ำได้ นอกจากนี้ก็ไม่ควรเอนตัวมากเกินไปเมื่อเข้าโค้งเพราะอาจทำให้รถเสียหลักได้ง่ายเช่นกัน ควรนั่งหลังตรง ตัวตรง เพื่อที่จะได้ไม่ปวดหลังและช่วยรักษาสมดุลของรถในขณะขับขี่ได้เป็นอย่างดีด้วย
  4. สติพร้อม มีสติอยู่เสมอเมื่อนั่งซ้อนท้ายรถมอเตอร์ไซค์ เพราะการขับขี่ที่ค่อนข้างเร็วและหลายครั้งก็เป็นการเดินทางไกล คนซ้อนอาจรู้สึกเมื่อยหรือง่วงจนทำให้คลายความระมัดระวังตัว ดังนั้นควรมีสติอยู่เสมอ อย่าเผลอหลับเพราะอาจพลัดตกรถได้ อย่างบิ๊กไบค์บางรุ่นที่เบาะคนซ้อนท้ายลาดเอียงและลื่นซึ่งต้องคอยระมัดระวังในการจับยึดให้แน่นอยู่ตลอดเวลา แต่รถบิ๊กไบค์บางรุ่นอย่าง kawasaki Z300 ที่มีเบาะที่นั่งเรียบตรงทำให้ผู้ซ้อนนั่งสบายมากขึ้นแต่ก็ต้องระวัดระวังอยู่เสมอในการโดยสารเช่นกัน บาคาร่า สูตรบาคาร่า

เป็นอย่างไรกันบ้าง สำหรับเทคนิคการนั่ง ซ้อน Bigbike ให้ปลอดภัย หวังว่าบทความนี้จะทำให้ผู้อ่านหลาย ต่อหลายคนได้ทราบถึง 4 ขั้นตอนการนั่งซ้อนที่ถูกวิธีกันพอสมควร ดังนั้นทางเว็บไซต์หวังว่าจะทำให้คนซ้อนและคนขับเข้าใจมากยิ่งขึ้นถึงสาเหตุและอันตรายจากการขับขี่ หรือการซ้อนที่ถูกวิธี ดังนั้น ดูให้ดีคุณจะเดินทางไปด้วยกันอย่างปลอดภัยแน่นอน

ที่มา : pgslot , PG SLOT , PGSLOTGAME

ขั้นตอนและวิธี ล้างโซ่ Bigbike ให้สะอาด

ล้างโซ่ Bigbike เป็นอีกหนึ่งส่วนในการดูแลลักษารถบิ๊กไบค์ของพวกเรา ซึ่งโซ่ ก็เป็นส่วนสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะมีการใช้งานอยู่ตลอดเวลาเมื่อขับขี่บนท้องถนน

หากโซ่สกปรก มีสนิมเกาะจำนวนมาก ข้อโซ่เสื่อม ข้อโซ่ตาย ก็จะทำให้อายุการใช้งานของโซ่นั้นสั้นลง และ เมื่อยังฝืนใช้งานโซ่ที่มีสภาพไม่เหมาะแก่การนำมาใช้งาน มันก็เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ

และปัญหาอื่นๆ ที่จะตามมาได้ เช่น ชุดสเตอร์ หน้า-หลัง อาจเสื่อมสภาพตามมา ส่วนปัญหาที่ร้ายแรงเลยก็คือ โซ่ขาด ซึ่งก็อาจเกิดอุบัติเหตุที่ร้ายแรงขึ้นได้ เนื่องจาก BIGBIKE หลายท่านก็ขับขี่ด้วยความเร็ว ลองคิดดูว่า ถ้าวิ่งที่ 150km ต่อชั่วโมง แล้วโซ่ ขาดอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง

ดั้งนั้นบทความ ล้างโซ่บิ๊กไบค์ วิธีล้างโซ่ Bigbike นี้ จะมาแนะนำ ขั้นตอนวิธีการล้างโซ่ ทำความสะอาดโซ่ และ วิการดูแลลักษาโซ่ควบคู่กันไป เพื่อยืดอายุการใช้งานโซ่ในมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์ของเรานั้นให้มีอายุการใช้งานได้ยาวนานยิ่งขึ้น

ล้างโซ่ ต้องเข้าใจเรื่องโซ่ก่อน

โซ่มอเตอร์ไซค์ หรือ Motorcycle Chain ขอบอกก่อนเลยว่าโซ่รถเนี่ยสิ่งที่ไม่ควรนำมาโดน แต่ห้ามไม่ให้โดนก็ไม่ได้ นั่นก็คือ “น้ำ” ใช่ครับ น้ำทั่วไปที่เป็นของเหลวนี่แหละ

เป็นสิ่งที่ไม่ควรนำมาโดนกับโซ่เลย แต่มันก็ไม่ใช้สามารถหลีกเลี่ยงได้ เพราะของมันมีไว้ใช้งาน น้ำเป็นบ่อเกิดแห่งคราบสนิม ที่เราก็รู้ดีว่าสนิมมันกัดกินโลหะให้เสื่อมสภาพได้ง่ายมาก

ยิ่งสนิมมีมากแค่ไหนก็ยิ่งทำให้โซ่เสื่อมไวเท่านั้น รวมไปถึงโซ่ที่มียาง O-X-Z Ring ด้วยยิ่งไปกันใหญ่ แต่น้ำที่มาโดนโซ่ หากเป็นน้ำสะอาดบ่อเกิดสนิมก็อาจขึ้นเพียงเล็กน้อย โซ่แห้งทันก็จบ แต่ถ้าไปเจอ น้ำที่สกปรก เช่น น้ำเน่าเสีย น้ำขัง น้ำบนถนน ดิน โคลนตม นี่หนัก! เชื่อเถื่อว่าทุกคนที่ขี่บิ๊กไบค์ เคยผ่านกันมาหมดแล้ว ชัดๆเลยว่าข้ามคืน โซ่เปลี่ยนสีแน่นอน

 

ดังนั้นไม่ว่างจะโดนน้ำอะไรก็แล้วแต่หากโซ่ไม่มีการหล่อลื่น ไม่มีการเคลือบ หรือ โซ่ที่ไม่เคยทำความสะอาดเลยควรล้างทำความสะอาดโซ่ ทำให้โซ่นั้นแห้ง และ ควรเคลือบโซ่ด้วย สเปรย์เฉพาะ หรือ น้ำยาหล่อลื่น จะเป็นจาระบีแห้ง จาระบีใส หรือ สเปรย์เนื้อฟิล์ม ก็เคลือบๆไปเถอะ มันช่วยได้จริง และ ป้องกันการเกิดสนิมได้จริง ขวดนึงไม่กี่ร้อยบาท ดีกว่าเสียเงินเป็นพันบาทเพื่อซื้อโซ่ใหม่

 

สเปรย์ล้างทำความาสะอาดโซ่

วิธีล้างโซ่ บิ๊กไบค์

  1. ล้างโซ่ Bigbike ด้วยวิธีการแช่ด้วยน้ำยาล้างโซ่ และ ขัดด้วยแปรง
    สิ่งที่ต้องเตรียมมีดังต่อไปนี้ สเปรย์ล้างโซ่แบบแช่ทิ้งไว้ก่อนขัด ในตลาดมีหลายยี่ห้อ แต่ถ้าเอาแบบดีๆเลยราคาถูกๆคุณสมบัติล้างโซ่เจ๋งๆ ต่อมาก็แปรงขัดโซ่ ผ้าแห้งสะอาด หรือ ถ้ามีที่เป่าลมด้วยยิ่งดี และ น้ำสะอาด (อาจจะเป็นน้ำประปาบ้านเราก็ได้ แต่! ไม่แนะนำน้ำบาดาล นะครับ) สุดท้าย สเปรย์หล่อลื่นโซ่ หรือ สเปรย์เคลือบโซ่

    เมื่อเตรียมอุปกรณ์ทั้งหมดที่ผมแนะนำไปครบแล้ว ทำตามนี้เลยครับ ตั้งรถบิ๊กไบค์ หรือ มอเตอร์ไซค์ของคุณด้วยขาคู่ หรือ ถ้ามีสแตนยกรถยิ่งดี เมื่อตั้งรถเสร็จแล้ว ให้เอาสเปรย์ ฉีดพ้นไปบนโซ่ 2-4 รอบ ขึ้นอยู่กับความสกปรกของโซ่ ฉีดพ้นให้ทั่วทั้งสเตอร์หลัง หรือ เฟืองโซ่นั่นแหละ และ ถ้าฉีดที่ชุดสเตอร์หน้าได้ด้วยยิ่งดี จะได้หมักน้ำยาไว้ล้างสะอาดๆ เมื่อฉีดพ้นครบทั้งหมดแล้ว ทิ้งไว้ซัก 5 นาที 

    จากนั้น นำแปรงขัดโซ่ มาขัดตามข้อโซ่ และ ชุดสเตอร์ขัดๆๆๆๆๆ ให้สิ่งปนเปื้อนหลุดออกมา

    เมื่อขัดเสร็จแล้ว ฉีดน้ำอัดเข้าไปเลย ฉีดล้างสิ่งสกปรกที่จะออกมากับน้ำยาให้หมด ในบางครั้งโซ่เรา เละมาก ก็อาจจะต้องทำวิธีดังกล่าว 1-2 เพิ่มครั้งนะครับ หากต้องการสะอาดหมดจดจริงๆ

    เมื่อใช้น้ำฉีดดันสิ่งสกปรกออกจากโซ่แล้ว ก็ให้ใช้ผ้าแห้งเช็ดโซ่ซับน้ำออกให้หมด ทำให้โซ่แห้งที่สุด หรือถ้ามีเครื่องเป่าลม ก็เป่าให้โซ่แห้งไปเลยจะดีมากๆ บาคาร่า สูตรบาคาร่า

    สุดท้ายเมื่อโซ่แห้งแล้ว ให้ใช้ สเปรย์เคลือบโซ่ จริงๆในตลาดก็มีหลายยี่ห้อนะ แต่เราก็จะแนะนำ สเปรย์หล่อลื่นโซ่ เคลือบโซ่ ป้องกันการเกิดสนิม แถมเป็นเนื้อฟิล์มเกาะยึดบนโซ่แน่นแถมไม่มีคราบไม่มีสี ก็คือ Fast Chain Lube ของ Bigbikeinfo.com อีกเช่นเคย (ขายของ)

    ง่ายๆเพื่อคุณสมบัติที่ดี เขย่ากระป๋องแล้วพ้นไปบนโซ่ 1-2 รอบก็พอ อย่าพ้นเยอะ ถ้าพ้นเยอะเกินไปโซ่จะแฉะ ข้อดีคือ สนิมไม่ขึ้นแน่นอน

  2. แต่ข้อเสียอาจจะดีดข้ามหัวได้ ยี่ห้อไหนมันก็ดีดถ้าฉีดเยอะ ยกเว้นแบบจาระบีแห้งนะ แต่สู้สเปรย์เคลือบแบบฟิล์มไม่ได้หรอก รับประกันเลย และนี่ก็คือทั้งหมดของวิธีล้างโซ่บิ๊กไบค์ ด้วยวิธีการแช่ด้วยน้ำยาล้างโซ่ และ ขัดด้วยแปรง

  3. ล้างโซ่บิ๊กไบค์ โดยไม่ต้องใช้น้ำ และ ล้างโซ่แบบไม่ต้องใช้แปรงขัด
    สิ่งที่ต้องเตรียม ผ้าแห้งสะอาด และ สเปรย์ล้างโซ่สูตรพิเศษแบบฉีดล้างได้ทันทีไม่ต้องแช่ไม่ต้องขัด ซึ่งในตลาดมีอยู่ไม่กี่ยี่ห้อ ที่มีขายแบบนี้ ส่วนมากราคาก็สูงเอาเรื่องอยู่ แต่แอดมินแนะนำเหมือนเดิม (ขายของ) Fast Chain Cleaner ราคาไม่แรง ปริมาณเยอะ 600ml ล้างโซ่ได้หลายรอบ ที่สำคัญฉีดปั๊ปออกปุ๊ป ไม่ต้องแช่ ไม่ต้องขัด ไม่ต้องหมักทิ้งไว้ ก็ล้างคราบสกปรกออกได้ หรือ เพื่อนๆมีสเปรย์ชนิดพิเศษของยี่ห้อในดวงใจอื่นๆก็ใช้ได้เหมือนกันนะ เมื่อเตรียมอุปกรณ์ครบแล้ว ลงมือได้เลย

    ขั้นตอนแรกก็เตรียมสเปรย์ ทำการเขย่ากระป๋อง ฉีดพ้นไปบนโซ่ ไม่เกิน 3 วินาที สิ่งสกปรก จะไหลออกมาตามน้ำยาที่ฉีด ก็ให้เราฉีดๆไป ซัก 2-3 รอบ จากนั้น ให้เช็ดด้วยผ้าแห้ง ถ้าหากโซ่ไม่เลอะหรือสกปรกมาก ใน 1 รอบ เช็ดโซ่ให้แห้งแล้วพ้นเคลือบโซ่ก็จบงานได้เลย แต่ถ้าเกิด ยังมีคราบตามโซ่อยู่บ้าง หลังเช็ดน้ำยาออกด้วยผ้าแห้งสะอาดรอบแรกไปแล้ว ให้ฉีดพ้นซ้ำ ไปยังจุดที่สกปรก รับรอง รอบนี้ สะอาดแน่นอน หรือ ถ้าเกิดหนักมาก อาจใช้แปรงขัดโซ่ร่วมขัดด้วยก็ได้นะ แต่ทั่วไป วิธีนี้ใช้กับโซ่ที่เปื้อนทั่วๆไป หรือ บางเคสหนักๆก็ล้างออกก็มีนะ แต่ถ้าประเภทโซ่แบบ มีหิน มีดิน ติดมา ยังไงก็ต้องใช้โซ่ กับ น้ำล้างนะครับ

ทำความสะอาดโซ่รถบิ๊กไบค์

สุดท้ายแล้ว สรุปวิธีการล้างโซ่ ทั้ง 2 วิธี ทั้งแบบ หมักทิ้งไว้แล้วขัด หรือ แบบฉีดแล้วล้างออกทันที จะโดนน้ำไม่โดนน้ำ เมื่อล้างเสร็จ ควรทำให้โซ่นั้นแห้งเสมอ และ ห้ามลืมเลยคือการหล่อลื่นโซ่ หรือ เคลือบโซ่ อย่าลืมเด็ดขาด ไม่งั้น โซ่ตายแน่ เพราะไม่มีการหล่อลื่น แถมยังอาจเกิดสนิมกินโซ่ตามมาก็ได้ สำหรับบทความนี้ หวังว่าจะช่วยเพื่อนๆ มือใหม่ มือเก๋า ไม่มากก็น้อย ในการดูแลรักษาส่วนต่างๆ อย่างเช่น โซ่ในรถบิ๊กไบค์ และหากเนื้อหานี้มีประโยชน์ ฝากแชร์ ต่อให้เพื่อนๆด้วยนะ… ขอบคุณครับ

ที่มา : pgslot , PG SLOT , PGSLOTGAME

เทคนิค เรื่องที่ควรรู้ ในการ ขับขี่มอเตอร์ไซค์ทางโค้ง

การ ขับขี่มอเตอร์ไซค์ทางโค้ง ทั้งแบบโค้งยาว สั้น รูปตัวเอส ผู้ขับจะต้องสังเกตสภาพพื้นผิวถนน ขับให้อยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง และใช้ความเร็วที่เหมาะสม มาดู 5 สิ่งควรทำเมื่อ ขับขี่มอเตอร์ไซค์ทางโค้ง กันเลย 

 
ก่อนอื่นคุณควรทำความเข้าใจว่า การเข้าโค้ง หรือการขับขี่มอเตอร์ไซค์นั้น ต้องใช้อวัยวะทุกส่วนของร่างกาย สิ่งแรกคือสายตา
คุณจะต้องใช้ประสาทสัมผัส ทางสายตาไปในมุมที่กว้าง มองเห็นไปถึงทุกที่ ของเส้นทาง และพยายามกวาดสายตา ให้ทั่วทั้งถนน สำหรับอวัยวะที่สองคือแขน คุณควรเก็บข้อศอก และไม่ควรเกร็งจนเกินไป อวัยวะที่สามคือไหล่ ให้คุณปล่อยตามอิสระ อย่าฝืนท่าทาง เพราะจะทำให้การขับขี่ ไม่เป็นธรรมชาติ อวัยวะที่สี่คือ มือของผู้ขับขี่ คุณควรที่จะจับมือ ที่บริเวณกลางปลอกแฮนด์ ไม่ควรหักข้อมือ ในขณะที่ขับขี่รถ
เนื่องจาก จะทำให้คุณนั้นฝืนท่าทาง ของการขับขี่ อวัยวะต่อไป ได้แก่สะโพกให้ปล่อยตามธรรมชาติ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของรถ อวัยวะที่หกให้คุณสังเกต ที่เข่าของตนเอง ควรเก็บเข่าให้มิดชิดแนบกับตัวรถ และสุดท้ายคือเท้า ให้วางอย่างหนักแน่น ที่คันเกียร์และเบรก 
 
ขับขี่มอเตอร์ไซค์ทางโค้ง
 
1. ประเมินโค้ง
การประเมินหรือภาษาง่ายๆ คือ เดา, คาดการณ์นั่นเองว่าทางโค้งนั้นมีลักษณะเป็นเช่นไร มีความลึกของโค้งมากหรือน้อย และเป็นถนนกี่ช่องทาง รวมถึงเป็นเนินสูงหรือลาดชันเพียงใด 
ขับขี่มอเตอร์ไซค์ทางโค้ง
การปฏิบัติ หากเป็นโค้งลักษณะธรรมดาคือ ระยะทางสั้นๆ หรือโค้งยาว ที่ไม่มากนัก ก็เพียงดูว่าปลอดภัยจึงขับผ่านไป
แต่ถ้าเป็นโค้งหักศอก ก็ควรลดความเร็วให้เหมาะสม ระวังอย่าเบรกแรงมากเกินไป หรือเบรกกระชั้นชิดโค้งเกินไป เพราะอาจถูกรถตามหลังมาชนได้
ควรชะลอก่อนถึงโค้งสักระยะหนึ่ง ควรดูให้แน่ใจว่า เลนซ้ายที่เราต้องใช้นั้นว่าง และข้างทาง ไม่มีรถที่ขับตัดหน้าได้ แล้วให้ชิดขอบทางซ้าย (ในช่องทางของตนเอง) ตีวงจากนอกโค้ง เข้าหาด้านในโค้ง โดยไม่ให้ล้ำเส้นแบ่งเลน และเส้นแบ่งกลางถนนฝั่งรถสวนทาง
แต่หากมีรถอยู่ในเลนขวาก็ควรให้ไปก่อน เพื่อให้มีพื้นที่ว่างและปลอดภัยมากขึ้น บาคาร่า สูตรบาคาร่า

2. ดูสิ่งรอบตัว

สังเกตรถยนต์, มอเตอร์ไซค์ ที่ขับมา ทั้งในทิศทางเดียวกัน และฝั่งตรงข้าม รวมถึงจักรยาน, สุนัข รถออกจากซอยข้างทาง และรถที่มีที่ท่าว่าจะกลับรถ เพื่อให้เรา สามารถเว้นระยะห่างให้ปลอดภัย พร้อมกับเผื่อระยะ ของการเบรกได้มากขึ้น หากเกิดเหตุไม่คาดคิด
ขับขี่มอเตอร์ไซค์ทางโค้ง
พึงระลึกเสมอ ว่าอาจมีเหตุการณ์ ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นได้เสมอ เช่น รถที่ออกจากซอยตัดหน้า, สุนัขตัดหน้า, จักรยานขี่กินเลน รถยนต์ยูเทิร์น์กะทันหัน เหตุการณ์เหล่านี้ย่อมมีโอกาสเกิดขึ้นได้ทั้งหมดครับ

3. สภาพผิวถนน

ข้อนี้สำคัญมากๆ เพราะถ้าเราดูปัจจัยอื่น จนแน่ใจว่าปลอดภัยชัวร์ๆ
แต่กลับเจอหลุมกลางถนน รอยปะยางมะตอยขนาดใหญ่ หรือจะมีคราบน้ำ, น้ำมัน และกรวดทรายลื่นๆ ก็จบครับ  
ขับขี่มอเตอร์ไซค์ทางโค้ง
ผิวถนนในประเทศไทยที่เอาแน่นอนไม่ได้ ดังนั้น อย่าประมาทเป็นดีที่สุด ขับช้าๆ ใช้ความเร็วที่เหมาะสมมากที่สุด อย่างน้อยก็เบรกได้ทันหรือหากเกิดอุบัติเหตุก็จะผ่อนหนักเป็นเบาได้ครับ

4. ปลายโค้ง

มองปลายโค้งให้สุดทางล่วงหน้าว่ามีอะไรต่อเนื่องอีกหลังจากออกจากโค้ง เช่น สี่แยก, ไฟแดง หรืออาจมีสิ่งกีดขวางบนถนนอื่นๆ เช่น รถเสีย, รถน้ำต้นไม้, รถรอเลี้ยวขวา เป็นต้น  
หากเราเห็นเหตุการณ์ข้างหน้าก่อนจะขับผ่าน ย่อมช่วยให้ขับผ่านจุดนั้นได้อย่างปลอดภัย และเปลี่ยนช่องทางหรือชิดขอบทางด้านใดด้านหนึ่งเพื่อหลบหลีก พร้อมกับลดความเร็วได้อย่างทันท่วงทีอีกด้วย

5. อย่าแซงทางโค้ง

ไม่ควรแซงขวา หรือแซงบนไหล่ทางในขณะเข้าโค้ง เพราะอาจมองไม่เห็นรถที่สวนทางมา และส่วนของไหล่ทางก็อาจมีสภาพผิวถนนที่ลื่น มีฝุ่น ทราย แอ่งน้ำ ฯลฯ ที่อาจทำให้เกิดการลื่นไถลได้ 
หากมีรถขวางหรือขับช้าและจำเป็นหลบหลีกเพื่อแซงขึ้นหน้า ก็ควรลดความเร็วลง และสังเกตพื้นผิวถนนให้ดีก่อนจะเร่งแซงขับผ่านไป และมองเหตุการณ์ล่วงหน้าไกลๆ อย่างน้อยเราก็รู้ตัวว่ากำลังขับผ่านพื้นผิวที่อันตรายและจะได้มีความระมัดระวังมากขึ้น
เทคนิคการจัดลำตัวในขณะเข้าโค้ง

ขอบขอคุณภาพจาก ยามาฮ่า
การขับเข้าทางโค้งนอกจากตัวรถที่ดีแล้วการวางลำตัวของผู้ขับก็มีส่วนสำคัญด้วย เพื่อให้เข้าโค้งได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น หลักในการจัดลำตัวเมื่อเข้าโค้งที่ถูกต้องมี 4 แบบด้วยกัน คือ
เอียงตัวตรงข้ามรถ (Lean out) เป็นการเข้าโค้งที่ความเร็วต่ำๆ เพื่อให้รถไปในทิศทางที่ต้องการได้ง่ายขึ้น
เอียงตัวแนวเดียวกับรถ (Lean with) เป็นการเข้าโค้งที่ผู้ขับสามารถรักษาความเร็วให้สัมพันธ์กับโค้ง ไม่ช้าหรือเร็วเกินไป 
เอียงตัวมากกว่ารถ (Lean in) สำหรับการเข้าโค้งที่ความเร็วสูงๆ เพื่อให้มีจุดศูนย์ถ่วงต่ำและเกาะโค้งมากที่สุด
เอียงตัวโหนรถ (Hang on) เป็นการเข้าโค้งที่ความเร็วสูงมากๆ เช่นในสนามแข่ง ด้วยการขยับสะโพกและเอียงไปทิศทางที่จะเลี้ยว สำหรับบนถนนทั่วไปไม่ควรใช้ความเร็วสูงเพราะอาจไม่ปลอดภัยเท่ากับในสนามนะครับ
การขับมอเตอร์ไซค์เข้าโค้ง อาจขึ้นอยู่กับสถาณการณ์ที่แตกต่างกันไปด้วนนะครับ ทั้งสภาพถนนเปียกลื่น เป็นหลุม บ่อแถมปะด้วยยางมะตอย ฯลฯ ดังนั้น ควรประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมในแต่ละเหตุการณ์ และที่สำคัญ “ใส่หมวกอุ่นใจ-อย่าลืมเปิดไฟ-ขับชิดซ้าย-เปิดไฟเมื่อเลี้ยว” และเพื่อความปลอดภัยในทุกสภาวะถนนควรใช้ความเร็วตามกฏหมายกำหนด ไม่ประมาทนะครับ 

ที่มา : pgslot , PG SLOT , PGSLOTGAME

8 รุ่นยอดนิยมกับ รถมอเตอร์ไซค์ Adventure

รถมอเตอร์ไซค์ Adventure หรือ Motard เป็นรถแนววิบากที่เพิ่มอุปกรณ์อำนวยความสะดวกสบายให้สามารถใช้งานในชีวิตประจำวันได้หลากหลายรูปแบบ และใส่ยางแบบทางเรียบเพื่อขับได้ในทุกสภาพถนน สามารถขับออกทริปได้สบายๆ พร้อมตกแต่งอุปกรณ์กล่องเสริมด้านข้างอีกมากมายและมีสมรรถนะที่ดีเยี่ยม มาดูกันว่ามอเตอร์ไซค์แนวแอดแวนเจอร์ยอดนิยมในไทยที่เช็คราคา.คอม เลือกมา 8 รุ่นนั้นมีอะไรกันบ้าง      

 หมายเหตุ : บทความนี้ไม่ใช่การจัดอันดับ และเป็นเพียงตัวอย่างของมอเตอร์ไซค์บางรุ่นเท่านั้น

Honda CB500X
 
รถมอเตอร์ไซค์ Adventure
 
Honda CB500X รถมอเตอร์ไซค์ Adventure ที่นับเป็นรุ่นแรกๆ ของเหล่าชาว 2 ล้อ และเป็นที่เริ่มรู้จักของผู้ชื่นชอบรถแนวผจญภัยตั้งแต่รถสไตล์นี้เริ่มทำตลาด ด้วยดีไซน์โครงสร้างด้านข้างและกราฟิกใหม่ ไฟหน้าและไฟท้ายแบบ LED พร้อมฟังก์ชันการใช้งานเพียบ อุปกรณ์มาแบบครบๆ ทั้งวินด์ชีลด์ใหม่สูงขึ้นกว่าเดิม 10 ซม. ถังน้ำมันขนาดใหญ่ 17.7 ลิตร พร้อมก้านเบรกหน้าปรับได้ 5 ระดับ พร้อมกับเครื่องยนต์ 2 สูบ DOHC ขนาด 500 ซีซี ระบายความร้อนด้วยน้ำ ระบบเกียร์ใหม่ให้ความนุ่มนวลขึ้น โช้คหน้าใหม่พร้อม Preload Adjuster ปรับระดับได้สำหรับการรองรับน้ำหนักหลากหลายรูปแบบ โช้คหลังแบบ Prolink Rear Suspension ปรับระดับได้ 9 ระดับ เสริมความมั่นใจด้วยระบบเบรก ABS และกุญแจแบบ Wave Key ฝังชิพพิเศษป้องกันการโจรกรรม ตอบสนองได้ตามความต้องการและคุ้มค่าด้วยราคา 220,000 บาท
 

Kawasaki Versys 650

รถมอเตอร์ไซค์ Adventure
 
Kawasaki Versys 650 ABS สุดยอดบิ๊กไบค์สไตล์ทัวร์ริ่งจาก Kawasaki ออกแบบเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของ Kawasaki Versys
ให้สมรรถนะที่ยอดเยี่ยมและประสิทธิภาพสูง ที่พร้อมจะพาคุณไปได้ทุกที่ไม่ว่าสภาพถนนจะเป็นแบบไหน เหมาะสำหรับผู้รักการผจญภัยเป็นอย่างยิ่ง
Versys 650 นับเป็นรถที่ได้รับความนิยมมากมายไม่แพ้ CB 500X และกำลังเครื่องยนต์ที่มากกว่าเล็กน้อย จึงเป็นรุ่นแรกๆ ที่ผู้ชื่นชอบการออกทริปมักนึกถึง ราคา 323,000 บาท บาคาร่า สูตรบาคาร่า
 

Ducati Hypermotard 821

รถมอเตอร์ไซค์ Adventure
Ducati Hypermotard 821 ด้วยแรงบันดาลใจจากคอนเซปต์รถวิบาก ที่มีพื้นที่ของระยะยุบตัวได้มาก ส่วนท้ายที่เรียวยาว และรูปทรงที่แนบกระชับ มาพร้อมกับขุมพลังใหม่ Testastretta 11 821 ซีซี ที่ให้มาถึง 110 แรงม้า ผสมผสานด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น การปรับเปลี่ยนโหมดขับขี่ และชุดเสริมความปลอดภัยในชื่อ Ducati Safety Pack กับการควบคุมที่มุ่งเน้นให้เกิดความคล่องตัวมากที่สุด Hypermotard นับเป็นรุ่นที่นิยมสำหรับผู้ต้องการขยับข้ามฝั่งจากญี่ปุ่นไปทางยุโรป เพื่อสัมผัสสมรรถนะของความดุดันสไตล์อิตาลี ราคา 499,900 บาท 
 

Yamaha Super Tenere 1200

     
Yamaha Super Tenere บิ๊กไบค์สไตล์ Adventure Touring พันธุ์แท้ ขุมกำลัง 1,200 ซีซี ระบายความร้อนด้วยน้ำ 2 สูบเรียง ขับเพลา เสริมด้วยเทคโนโลยีชั้นสูงของยามาฮ่าแบบเต็มสูบ ไม่ว่าจะเป็น ระบบ YCC-T (Yamaha Chip Controlled Throttle), Traction Control, Yamaha D-mode (Drive Mode), ระบบเบรก ABS และปรับแต่งรายละเอียดอื่นๆ อีกมากมาย พร้อมออปชั่นตกแต่งครบ เพื่อให้เป็นรถที่พร้อมไปได้ทุกที่ ขับขี่สนุกเหนือทุกความคาดหมาย พร้อมให้ผู้ที่หลงใหลการขับขี่แบบท่องเที่ยว กับสมรรถนะความแรงที่ตอบสนองความต้องการได้เต็มประสิทธิภาพ สำหรับเจ้า Super Tenere ได้เปรียบด้วยกำลังจากเครื่องยนต์ 1,200 ซีซี จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะถูกเทียบกับรถจากค่ายทางยุโรปในราคาที่คุ้มค่ากว่า สำหรับรุ่นนี้ ราคา 743,000 บาท 
 

KTM 1190 Adventure

      
KTM 1190 Adventure KTM รถสัญชาติออสเตรีย โดดเด่นด้วยรูปทรงที่ดุดัน และความโด่งดังจากการเข้าร่วมแข่งขันรายการสุดโหดแรลลี่บนเส้นทางทะเลทรายจนครองแชมป์หลายสนาม KTM จึงเป็นที่สนใจมากเป็นพิเศษ และใครที่ได้สัมผัสพลัง 2 สูบวี 1,190 ซีซี แบบ Twin Plug 150 แรงม้า รับรองว่าต้องติดใจไม่รู้ลืม และค่าตัวที่สมน้ำสมเนื้อด้วยราคา 1,189,000 บาท  
 
BMW F 800 GS Adventure
 
BMW F 800 GS Adventure มาพร้อมกับเบาะนั่งคนขับที่ปรับระดับสูงขึ้นที่ 890 มม. และถังน้ำมันที่จุขึ้นถึง 24 ลิตร พร้อมด้วยฟีเจอร์ที่เป็นมาตรฐานสำหรับประเทศไทย เช่น ระบบ ESA (Electronic Suspension Adjustment) เพื่อปรับช่วงล่างให้มีสมรรถนะการขับขี่ที่ดีเยี่ยมในทุกรูปแบบและทุกสภาวะ รวมถึงโหมดขับขี่แบบโปร (Riding Modes Pro) ไฟตัดหมอก LED และยางแบบออฟโรด BMW F 800 GS Adventure ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ 2 สูบเรียงแถว ขนาด 798 ซีซี ที่มีระบบหล่อเย็นด้วยน้ำ สร้างกำลังสูงสุดได้ 85 แรงม้า และแรงบิด 83 นิวตัน-เมตร และนี่คือ รถที่หลายคนใฝ่ฝันว่าจะได้ครอบครองมากที่สุดอีกหนึ่งรุ่น ด้วยราคาที่พอรับได้ 680,000 บาท 
 
Suzuki V-Strom 650 XT ABS
 
Suzuki V-Strom 650 XT ABS สู่ความหลากหลายที่มากกว่าและการผจญภัยที่มากขึ้น ตอบสนองความสนุกสนานของผู้ขับขี่สูงสุด ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางระยะใกล้หรือไกล พร้อมความหลากหลาย ความสะดวกสบายขับขี่ง่าย ด้วยมาตรฐานและความนิยมของ ซูซูกิ V-Strom 650 ที่ได้เป็นที่ยอมรับมาแล้วทั่วโลก เพิ่มความเร้าใจด้วยความอเนกประสงค์ของล้ออะลูมิเนียมแบบซี่ลวดใหม่ ทำให้การผจญภัยของคุณสามารถก้าวทะยานได้มากยิ่งขึ้น Suzuki V-Strom 650 XT ABS มาพร้อมเครื่องยนต์ V-Twin แบบ 2 สูบ DOHC ขนาด 645 ซีซี ระบบจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงแบบหัวฉีดที่ทันสมัย เฟรมอะลูมิเนียมแบบทวิน-สปา น้ำหนักเบา แข็งแกร่งและกะทัดรัด ช่วงล่างปรับระดับได้ ล้ออะลูมิเนียมแบบซี่ลวด พร้อมยางแบบ Tubeless และเป็นรถที่ขับขี่นุ่มนวลและนิ่งในทุกระดับความเร็ว ราคา 350,000 บาท
 
Triumph Tiger 800 XRT
 
รถมอเตอร์ไซค์ Adventure
Triumph Tiger 800 XRT บิ๊กไบค์สัญชาติอังกฤษอย่าง Tiger 800 XRT สร้างประสบการณ์พิเศษสุดสำหรับผู้รักการผจญภัย ด้วยสรรถนะเครื่องยนต์ 3 สูบ 800 ซีซี เอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ให้พละกำลังถึง 95 แรงม้าและกำลังบิดที่เร้าใจที่ 79 นิวตัน-เมตร ด้วยความต่อเนื่องและนุ่มนวล เบาะนั่งและแฮนด์สามารถปรับได้ ระบบเบรก ABS สามารถเปิด-ปิดได้ ทำให้การขับขี่เป็นไปอย่างง่ายดายในทุกสภาพถนนและทุกรูปแบบการขับขี่ไปถึงเส้นทางแบบ Off-Road พร้อมด้วยระบบกุญแจแบบ Key-Coded Immobilizer ทำให้ Tiger 800 XRT รุ่นนี้เพียบพร้อมครบถ้วนทุกฟังก์ชันการใช้งาน ราคา 595,000 บาท
 

นอกจากทั้ง 8 รุ่นนี้ ยังมีมอเตอร์ไซค์สไตล์แอดแวนเจอร์ (Adventure) อีกหลายรุ่นย่อยและจากอีกหลายค่ายที่ได้รับความนิยมไม่แพ้รุ่นข้างต้นนี้เช่นกัน แต่ละรุ่นให้การตอบสนองที่แตกต่างกันไปตามความชอบ การใช้งานของแต่ละคน แต่เท่าที่มีข้อมูลคร่าวๆ รถมอเตอร์ไซค์แอดแวนเจอร์มักเป็นตัวเลือกแรกๆ ที่เหล่านักบิดสนใจและต้องการซื้อเอาไว้ออกทริปมากที่สุด เพราะความสูงของตัวรถและความสะดวกสบายให้ท่านั่งพร้อมสมรรถนะที่ดีไม่แพ้รถแนวสปอร์ตไบค์ ใครลังเลอยู่รีบจัดเลย! 

ที่มา : pgslot , PG SLOT , PGSLOTGAME

พามาชม มอเตอร์ไซค์วิบาก มีกี่แบบกันแน่

รถมอเตอร์ไซค์ประเภทลุยป่า ขึ้นเขา ลงห้วยที่เราเรียกกันว่า “มอเตอร์ไซค์วิบาก” นั้น เป็นรถที่มีลักษณะสูงๆ คันผอมๆ ล้อมีตุ่ม และสิ่งอำนวยความสะดวก ไม่ได้มีมากมาย แต่ในความจริงนั้นรถมอเตอร์ไซค์ ที่มีรูปร่างลักษณะนี้ ยังมีอีกมากมายหลากรุ่น หลายรูปแบบ ล้วนเรียกให้เป็นรถวิบากได้เกือบหมด มาดูว่า รถมอเตอร์ไซค์วิบาก นั้นมีแบบไหนกันบ้าง   

รถมอเตอร์ไซค์วิบาก อาจไม่ค่อยเป็นที่พบเห็นมาก ตามท้องถนนทั่วไป เนื่องจากเป็นรถที่ค่อนข้างมีลักษณะการใช้งาน ที่จำเพาะ แต่หากคุณได้มีโอกาสเดินทาง ไปตามสถานที่ต่าง ๆ ที่เป็นป่า เขา หรือลำธาร รับรองได้ว่า คุณจะได้พบเห็น กับกลุ่มมอเตอร์ไซค์วิบาก อย่างแน่นอน

แต่คุณรู้หรือไม่ว่า “รถมอเตอร์ไซค์วิบาก” ที่คุณเคยพบเห็นมานั้นมีรูปทรง และลักษณะที่เจาะลึกลงไป แยกตามการใช้งานของมัน วันนี้เราจะพาคุณไปทำความรู้จักกับรถมอเตอร์ไซค์วิบากในรูปทรงต่าง ๆ ว่ามีรูปแบบไหนบ้าง และการใช้งานแตกต่างกันอย่างไร ไปดูกันเลย

1. Motorcross – มอเตอร์ครอส “วิบากแท้เน้นแข่ง”

รถจักรยานยนต์แบบมอเตอร์ครอส จะมีลักษณะเล็ก กะทัดรัด และน้ำหนักเบา ใช้เพื่อการแข่งขันโดยเฉพาะ หรือขับขี่สถานที่โหดๆ เช่น ไต่หุบเขา ลุยโคลน เป็นต้น บาคาร่า สูตรบาคาร่า
 
เพื่อให้ผู้ขับขี่สามารถถึงจุดหมาย ได้อย่างรวดเร็วที่สุด ตัวรถจะต้องเบา คล่องตัว มีกำลังเพียงพอ โดยส่วนมาก มักจะตัดระบบ ที่ไม่จำเป็น สำหรับการแข่งขันออกไป เช่น ไฟหน้า ไฟท้าย ไฟเลี้ยว แฟริ่งบางส่วน บางครั้งก็ตัดมาตรวัดออกไปด้วย
 
เพื่อให้รถเบาที่สุด และไม่ให้มีชิ้นส่วนเสียหายเมื่อเกิดการล้ม และมักจะใช้ล้อซี่ลวด ที่รองรับน้ำหนัก และลดแรงสะเทือนได้ดี รวมถึงยางที่ใช้ก็เป็นตุ่ม ดอกยางหนา และใหญ่อีกด้วย รถสไตล์มอเตอร์ครอส จึงเน้นขับทางฝุ่นหรือเอาไว้แข่งมากกว่า เพราะดอกยางแบบตุ่ม จะจม และยึดเกาะกับทางฝุ่น ดิน เลน และทรายได้ดีกว่า ถูกใจขาลุยป่าอย่างแท้จริง ในประเทศไทย น่าจะเหลือเพียงยามาฮ่า และซูซูกิที่มีขายรถประเภทนี้      

2. Enduro – เอ็นดูโร่ “รถทางฝุ่นเพิ่มระบบไฟ”

รถจักรยานยนต์เอ็นดูโร่ เป็นการผสานความลุยดิบๆ และความสะดวกสบาย ในการใช้งานเข้าด้วยกันมากขึ้น เป็นรถที่เน้นรูปแบบ ทั้งการแข่งขันในป่าเขา ที่มีแสงน้อย
 
หรืออาจนำมาใช้งานได้ในชีวิตประจำวันมากขึ้น ซึ่งมีความแตกต่างเล็กน้อย ในบางชิ้นส่วน ที่เห็นได้ชัดเจนนั่นคือ ยางแบบมีตุ่มเหมือนพวกมอเตอร์ครอส เพิ่มไฟหน้า ไฟเลี้ยว ไฟท้าย และระบบมาตรวัดเข้ามา
 
แต่ตัวรถยังคงสไตล์วิบาก ที่พร้อมลุยได้เช่นเดิม มีน้ำหนักเบา และมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกเท่าที่จำเป็น หรืออาจมีมากขึ้นกว่า แบบมอเตอร์ครอส เรียกว่า “วิ่งทางฝุ่นก็ได้ ทางเรียบก็ดี”       

3. Motard – โมตาร์ด “วิบากใส่ยางทางเรียบ”

รถจักรยานยนต์ แบบโมตาร์ด เป็นรูปแบบของการขับขี่ ที่เพิ่มความสะดวกสะบายมากขึ้นไปอีก เพราะเน้นขับขี่บนทางเรียบ มีการออกแบบรูปทรงที่สวยงามและมีแฟริ่งมากขึ้น ระบบไฟฟ้าต่างๆ มีให้ครบ เน้นการใช้งาน ที่สะดวกสบาย และนิยมใช้ขับขี่ในเมือง หรือทางเรียบมากกว่านำไปลุยทางฝุ่น ใช้ออกทริปยาวๆ และมีสาวๆ นั่งซ้อนได้อย่างสบายใจ ระบบช่วงล่างมีความทนทาน และยางแบบทางเรียบ ซึ่งปัจจุบันเป็นที่นิยมของเหล่านักบิดมากขึ้น เพราะความสูงผ่านอุปสรรคต่างๆ ได้สะดวก ตอบสนองไลฟ์สไตล์คนเมือง ที่ชอบเดินทางออกทริปในวันหยุดสุดสัปดาห์ และเหมาะกับถนนเมืองไทย ที่มักเป็นหลุมเป็นบ่อและน้ำท่วมขังบ่อยๆ เจ้าโมตาร์ด ก็ไม่หวั่นพร้อมลุยได้ทุกสภาพถนน
 
มอเตอร์ไซค์วิบาก ที่เราเห็นกันบ่อยๆ จนชินตา นอกจากสามารถแบ่งรูปแบบย่อยออกเป็น 3 แบบแล้ว อันที่จริงก็ยังมีรถที่มีรูปแบบคล้ายๆ กับรถแนววิบากอีกมากมาย เช่น Adventure เป็นต้น แต่รถระดับนั้นคงไม่เหมาะนำมาลุยทางฝุ่นโหดๆ สักเท่าไหร่ เพราะส่วนมากเน้นการเดินทางและการขับทางเรียบมากกว่า คราวนี้คงสังเกตง่ายขึ้นแล้วระหว่าง Motocross, Enduro และ Motard นะครับ

ที่มา : pgslot , PG SLOT , PGSLOTGAME

YAMAHA AEROX 155 กับ 10 จุดเด่นน่ารู้

YAMAHA AEROX 155 โดดเด่นตั้งแต่การออกแบบภายนอกที่ให้อารมณ์สปอร์ตและสะดวกสบายด้านการใช้งานด้วยระบบเกียร์ออโตเมติก CVT จนหลายคนมองว่าเป็น “มอเตอร์ไซค์สปอร์ตออโตเมติกที่ดีที่สุดของอาเซียน ด้วยการผลิตพิถีพิถันและเปี่ยมด้วยคุณภาพ” เรามาดูกันว่า 10 จุดเด่น ใน YAMAHA AEROX 155 นั้น เจ๋งขนาดไหนก่อนจะได้ไปสัมผัสตัวจริงกัน

1. ตัวรถด้านข้างเป็นทรงตัว X 

Aerox 155
ตัวรถด้านข้างเป็นทรงตัว X เพื่อรวมจุดศูนย์ถ่วงของตัวรถให้อยู่จุดกึ่งกลาง พร้อมตัดในส่วนที่ไม่จำเป็นออก ลดน้ำหนักเบาลง ด้านเบาะก็แบ่งระดับผู้ขับและซ้อนเพื่อความกระชับในการนั่งขี่

2. ชุดแฟริ่งสวยสปอร์ต

Aerox 155
 
ชุดแฟริ่งเสริมลุคสปอร์ตสุดขั้ว ทั้งด้านหน้า ข้าง และหลัง สอดรับกันเป็นอย่างดี แบ่งเป็น 3 สไตล์ตาม 3 รุ่นย่อย

3. เรือนไมล์ ดิจิตอล  แบบ LCD

Aerox 155
 
 มองเห็นค่าต่างๆ ได้สะดวก ชัดเจน และเข้าใจง่าย พร้อมปุ่มกดเรียกดูและตั้งค่าต่างๆ ได้

4. ไฟหน้าและท้ายเป็นแบบ LED

Aerox 155
 
ให้ความสว่างที่ชัดเจนกว่ารถทั่วไป และดูสปอร์ตรับตัวตัวรถ โดยเฉพาะไฟหน้าสว่างขาวนวลสบายตา 

5. เฟรมออกแบบใหม่เพิ่มความแข็งแรง น้ำหนักเบา 

เฟรมได้รับการออกแบบใหม่ โดยรองรับถังน้ำมันขนาด 4.6 ลิตร เน้นความสมดุลและมั่นคงขณะขี่ นอกจากนี้ตัวรถหนักเพียง 116-118 กก. ภาพด้านบนเป็นรุ่น TOP มี ABS น้ำหนัก 118 กก.

6. พื้นที่ใต้เบาะกว้างเก็บสัมภาระได้มากกว่าที่คิด บาคาร่า สูตรบาคาร่า

พื้นที่เก็บสัมภาระมากขึ้นจุได้ถึง 25 ลิตร สามารถเก็บหมวกกันน็อคเต็มใบได้ และยังพอใส่ของอื่นๆ ได้อีก

7. ล้อและยางปรับสเปคให้สปอร์ตขึ้น

  
 
ด้วยการใช้ล้อหน้ากว้าง 2.5×14 นิ้ว พร้อมยางขนาด 110/80 ล้อหลังกว้าง 3.5×14 นิ้ว พร้อมยางขนาด 140/17 และดิสก์เบรกหน้าขนาด 230 มม. (พร้อมระบบ ABS ในรุ่นท็อป) และสวิงอาร์มหลังเป็นงานอลูมิเนียมไดแคสเบาแข็งแรง นอกจากนี้แกนโช้กอัพคู่หน้าขนาด 26 มม. และหลังแบบคู่ระยะยุบตัว 86 มม. ช่วยให้มั่นคงขณะขี่ (รุ่น R โช้กคู่หลังเป็นแบบซับแท็งค์)

8. ระบบกุญแจอัจฉริยะ-Smart Key (เฉพาะรุ่น TOP) 

 
กุญแจแบบรีโมทช่วยอำนวยความสะดวกให้ผู้ขี่มากขึ้น เพราะสามารถสตาร์ทได้โดยไม่ต้องใช้กุญแจ แค่พกรีโมทติดตัว และยังสามารถกดปุ่มค้นหารถจากระยะไกลได้ ( 20 เมตร) ตลอดจนไว้ใช้เปิดเบาะและฝาถังน้ำมันด้วย

9. เครื่องยนต์ BLUE CORE 

 
Yamaha Aerox 155 ใช้เครื่องยนต์สูบเดี่ยว ขนาด 155 ซีซี 4 วาล์ว ระบายความร้อนด้วยน้ำ ส่งกำลังด้วยเกียร์ CVT ให้ความราบรื่นและประหยัด ส่วนความสำคัญของ BLUE CORE คือ “ความประหยัด ที่มาพร้อมกับสมรรถนะที่ดีขึ้น” ซึ่งมี 3 ปัจจัยสำคัญ ได้แก่ การเพิ่มประสิทธิภาพของการเผาไหม้, ลดการสูญเสียกำลังของเครื่องยนต์ และการควบคุมการจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงพร้อมกับการจุดระเบิดอย่างแม่นยำ ทั้งหมดช่วยทำให้รถประหยัดน้ำมันมากขึ้น

10. ระบบและเทคโนโลยีต่างๆ

Aerox 155
ระบบวาล์วแปรผัน (VVA) ให้กำลังและแรงบิดดีขึ้นเมื่อถึงรอบการทำงานที่ 6,000 รอบต่อนาทีขึ้นไป ทำให้มีสมรรถนะดีในช่วงความเร็วรอบต่ำ-สูง ระบบนี้มีส่วนประกอบคือ เพลาลูกเบี้ยวรอบต่ำ และเพลาลูกเบี้ยวรอบสูง ซึ่งทั้งสองเพลาลูกเบี้ยว จะช่วยควบคุมและเปิด-ปิดวาล์วไอดีให้กว้าง เพื่อช่วยรักษากำลังเครื่องยนต์ โดยสลับการทำงานจากรอบต่ำไปรอบสูงที่ 6,000 รอบ และมีคำว่า VVA ขึ้นที่หน้าจอแสดงผล LCD
ระบบสตาร์ทเครื่องยนต์ใหม่ SMG (Smart Motor Generator) ช่วยให้สตาร์ทได้เร็ว ไม่มีเสียงรบกวน และลดการสูญเสียเชิงกล
ระบบหยุดและสตาร์ทเครื่องยนต์อัตโนมัติ (Stop&Start System) เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยประหยัดน้ำมัน เมื่อรถจอดหยุดนิ่งโดยไม่มีการขับขี่เป็นเวลา 5 วินาที เครื่องยนต์จะหยุดทำงานโดยอัตโนมัติ ช่วยประหยัดเชื้อเพลิงและลดมลพิษ นอกจากนี้ผู้ขี่สามารถเลือกเปิด-ปิดฟังก์ชั่นได้เอง โดยเปลี่ยนจาก on เป็น off ในตำแหน่งแฮนด์ด้านขวาของตัวรถ
 
ช่องจ่ายไฟ สำหรับเสียบปลั๊กต่อจ่ายไฟแบบ USB เพิ่มความสะดวกสบายกับแหล่งไฟสำรองตลอดการเดินทาง

ที่มา : pgslot , PG SLOT , PGSLOTGAME

มอเตอร์ไซค์ 250cc กำลังจะกลับมาครองใจสายซิ่งอีกครั้ง

เทรนด์จักรยานยนต์ สปอร์ตไบค์ คลาส 250cc กำลังกลับมาอีกครั้ง? หลังจากที่เอ.พี.ฮอนด้าเปิดตัวและนำเข้าพร้อมจำหน่ายรุ่น CBR250RR ในเมืองไทย ซึ่งเป็นรถที่ผลิตในญี่ปุ่น 100% เน้นความเป็นสปอร์ตเต็มพิกัดในราคาที่จับต้องได้ ซึ่งก็ได้รับการตอบรับจากไบค์เกอร์เมืองไทยอย่างล้นหลาม ทางญี่ปุ่นเองก็เช่นกัน ล่าสุดมีการเปิดเผยถึงการมาของรถจักรยานยนต์คาวาซากิ รุ่น Ninja ZX-25R ที่ใช้ขุมพลังเครื่องยนต์ใหม่ล่าสุดขนาด 250 ซีซี 4 สูบ !!! หลังจากที่เป็นโปรเจคลับมานาน ก็พร้อมออกสู่สายตาชาวโลกกับการติดตั้งในรุ่น Ninja ZX-25R เร็วๆ นี้ บาคาร่า สูตรบาคาร่า

250cc
อย่างไรก็ตามเราย้อนกลับไปส่องตัวแรงสายซิ่งคลาส 250cc ในอดีตกันก่อน ซึ่งมีหลายรุ่นที่สร้างชื่อไว้มากมาย เช่น

คาวาซากิ ZXR250 ปี ค.ศ. 1989

  • เครื่องยนต์ : DOHC 4-valve parallel 4-cylinder ระบายความร้อนด้วยน้ำ
  • ความจุ : 249 ซีซี
  • กำลังสูงสุด : 45 แรงม้า ที่ 15,000 รอบต่อนาที
  • แรงบิดสูงสุด : 2.6 กก.-ม./ 11,500 รอบต่อนาที 
  • จ่ายเชื้อเพลิง : คาร์บูเรเตอร์ [CVKD30] 
  • ระบบส่งกำลัง : Regular bit 6-step return 
  • ความสูงเบาะ : 740 มม. 
  • น้ำหนักไม่รวมของเหลว : 144 กก. 
  • ความจุถังน้ำมัน : 16 ลิตร
  • ขนาดยาง : หน้า 110/ 70R17 หลัง 150/ 60R18 
  • ราคาวันเปิดตัว : 589,000 เยน
 250cc

ฮอนด้า CBR250RR  ปี ค.ศ. 1990

  • เครื่องยนต์ : DOHC 4-valve parallel 4-cylinder ระบายความร้อนด้วยน้ำ
  • ความจุ : 249 ซีซี
  • กำลังสูงสุด : 45 แรงม้า ที่ 15,000 รอบต่อนาที
  • แรงบิดสูงสุด : 2.5 กก.-ม./ 12,000 รอบต่อนาที 
  • จ่ายเชื้อเพลิง : คาร์บูเรเตอร์ [VP20] 
  • ระบบส่งกำลัง : 6 speed return
  • ความสูงเบาะ : 725 มม. 
  • น้ำหนักไม่รวมของเหลว : 157 กก. 
  • ความจุถังน้ำมัน: 13.1 ลิตร
  • ขนาดยาง : หน้า 110/ 70R17 หลัง 140/ 60R17 
  • ราคาวันเปิดตัว : – เยน
 250cc

ซูซูกิ GSX-R250  ปี ค.ศ. 1987

  • เครื่องยนต์ : DOHC 4-valve parallel 4-cylinder ระบายความร้อนด้วยน้ำ
  • ความจุ : 248 ซีซี
  • กำลังสูงสุด : 45 แรงม้า ที่ 14,500 รอบต่อนาที
  • แรงบิดสูงสุด : 2.5 กก.-ม./ 10,500 รอบต่อนาที 
  • จ่ายเชื้อเพลิง : คาร์บูเรเตอร์เดี่ยว
  • ระบบส่งกำลัง : 6 speed return
  • ความสูงเบาะ : 770 มม. 
  • น้ำหนักไม่รวมของเหลว : 138 กก. 
  • ความจุถังน้ำมัน : 16 ลิตร
  • ขนาดยาง : หน้า 100/ 80R17 หลัง 130/ 70R17
  • ราคาวันเปิดตัว : 539,000 เยน
 

ยามาฮ่า FZ250 Phazer ปี ค.ศ. 1985

  • เครื่องยนต์ : DOHC 4-valve parallel 4-cylinder ระบายความร้อนด้วยน้ำ
  • ความจุ : 249 ซีซี
  • กำลังสูงสุด : 45 แรงม้า ที่ 14,500 รอบต่อนาที
  • แรงบิดสูงสุด : 2.5 กก.-ม./ 11,500 รอบต่อนาที 
  • จ่ายเชื้อเพลิง : คาร์บูเรเตอร์ [BDS26] 
  • ระบบส่งกำลัง : 6 speed return
  • ความสูงเบาะ : 750 มม. 
  • น้ำหนักไม่รวมของเหลว : 138 กก. 
  • ความจุถังน้ำมัน: 12 ลิตร
  • ขนาดยาง : หน้า 100/ 80R167 หลัง 120/ 80R16
  • ราคาวันเปิดตัว : 499,000 เยน
 
 
จะเห็นได้ว่าสปอร์ตไบค์คลาส 250 ซีซี 4 สูบ ซึ่งเคยได้รับความนิยม มีแนวโน้มกลับมาอีกครั้ง อย่างน้อยก็เป็นเทรนด์ 250 ซีซี คลาสแข่งที่กำลังปลุกกระแสให้เหล่าไบค์เกอร์ที่ชื่นชอบความแรง และมีหัวใจมอเตอร์สปอร์ต ได้มีโอกาสเริ่มต้นกับรถที่ชอบและเหมาะสม ส่วน 250 ซีซี รุ่นต่อไปในเมืองไทยจะเป็นแบรนด์ไหนต้องรอติดตามกัน

ที่มา : pgslot , PG SLOT , PGSLOTGAME